การตกผลึกแนวคิดของเซียน:D ทำไมในตลาดจึงมีแต่คนร่ำรวยจากหุ้นอยู่ไม่กี่คน แต่มีคนที่ขาดทุนกับหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
:D สาเหตุหนึ่งที่ผมพอจะสัมผัสได้จากหลายท่านที่ประสบความสำเร็จคือ แต่ละท่านมีแนวความคิดที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง มีจุดยืนที่มั่นคงหรือมีกฎที่ตายตัว แต่มีกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนตามสภาวะโอกาสได้ตลอดเวลา ดั่งเช่น ต้นไผ่ที่มีรากหยั่งลึกในดินอย่างมั่นคง แต่มีกิ่งก้านที่โน้มไหวตามลมได้เสมอในเวลาที่มีพายุ
:D คำถามต่อมาสำหรับนักลงทุนมือใหม่หลายๆท่านคือ "ทำอย่างไร เราจึงจะมีแนวความคิดได้อย่างพวกพี่ๆและอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น"
:D ผมขออนุญาตสรุปประเด็น การตกผลึกทางแนวความคิดให้นักลงทุนมือใหม่ที่สนใจเล่น(ลงทุน)หุ้นไว้พิจารณาเป็นหลักยึดเหนี่ยวทางการลงทุน ไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของบรรดาเจ้ามือทั้งหลาย
:D ความหมายของ"แนวความคิด"คือ "การประมวลผลทางสมองที่เกิดจากการสะสมประสบการณ์ทางความคิดของบุคคลนั้นๆได้พบเจอมาในอดีต เช่นถ้าผมถามว่า เจ้าแท่งพลาสติกสีเงิน พับได้ มีเสา มีปุ่มตัวเลขให้กด อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมคืออะไร เกือบ100%จะต้องตอบได้ว่าเป็นโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าผมเอาคำถามนี้ไปถามชาวอัฟริกาใต้ที่ล้าหลัง แน่นอนเขาคงตอบไม่ได้เกือบ100%
เช่นกันสำหรับคำถาม1คำถามที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น การตีความ ณ.จุดใดจุดหนึ่งของวันนั้น ของนักลงทุนที่ขายหุ้น เพราะเขาคิดว่าหุ้นตัวนั้นจะลง กับนักลงทุนที่ซื้อ เพราะคิดว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้น และผลที่ตามมาส่วนมากคนที่มีการตกผลึกทางแนวความคิดมักจะเป็นฝ่ายถูกอยู่เสมอๆ เพราะแนวความคิดเขาเฉียบคมและไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องอยู่นั่นเอง
:D แล้วแนวความคิดของเราจะเริ่มตกผลึกได้อย่างไร
อย่างที่ผมได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า แนวความคิดของเรามาจาก ประสบการณ์ที่สมองเราบันทึกรูป รส กลิ่น เสียง ความรู้สึก อย่างถูกๆผิดๆ และนำมาประมวลผลสั่งการออกมา เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้แนวความคิดของเราตกผลึกได้ต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1.เราต้องมีความเชื่อความศรัทธาและความชอบในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เช่น ทุกๆคนชอบในการเล่นหุ้น และเชื่อว่าหุ้นทำให้เรารวยหรือเป็นอิสระภาพทางการเงินได้ เราจึงเล่น(ลงทุน)หุ้น แต่สำหรับคนที่เขาไม่ชอบหุ้น หรือคิดว่ามันจะทำให้ขาดทุน เขาก็คงจะไม่เล่นเช่นกัน
2.เราต้องมีความพยายามที่จะศึกษาและค้นคว้าหาแนวความคิดของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเท่าที่เราจะศึกษาได้(ทั้งแนวพื้นฐานและแนวเทคนิค) เพื่อนำมาเก็บไว้เป็นmemoryพื้นฐานในสมองของเรา สำหรับประมวลผลในขั้นต่อไป
3.เราต้องริเริ่มคิดโดยใช้เหตุผลของสิ่งที่เรารับรู้เข้ามา ประมวลผล ดูเหตุที่เกิดขึ้น หาคำตอบที่น่าจะเป็น และติดตามเฝ้าดูผลที่เกิดขึ้นจริง ว่าตรงกับที่เราคาดคิดไว้หรือไม่
เช่น เราอาจติดตามการเคลื่อนไหวของหุ้น10ตัวโดยกระจายทั้งหุ้นดี หุ้นวัฎจักร หุ้นเน่า หุ้นปั่น ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งระยะสั้น-ระยะกลาง-ระยะยาว ดูการเคลื่อนไหวเปรียบเทียบกับSET และปัจจัยพื้นฐาน
การคิดและประมวนผลระยะแรกอาจใช้เวลามากพอควร แต่ถ้าเราหมั่นฝึกฝนลับสมองเราอยู่บ่อยๆก็จะเร็วขึ้น เช่น เมื่อเราขับรถยนต์ใหม่ๆสมองต้องสั่งการ
ให้เท้าซ้ายเหยียบครัช เท้าขวาเหยียบเบรก แต่ถ้าเราฝึกฝนจนชำนาญ สมองเราจะสั่งการโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัว
หรือบางท่านอาจบอกว่ามันคือsenseอธิบายไม่ได้ แต่ผมว่ามันคือจิตใต้สำนึกที่เกิดจากการฝึกฝน ประมวลผล และสั่งการอยู่บ่อยๆนั่นเอง
:D ถ้าสังเกตุกันให้ดีๆที่ผมพูดไปนั้นคือหลัก อิทธิบาท4(ฉันทะ-วิริยะ-จิตตะ-วิมังสา) ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อธิบายไว้สำหรับบุคคลที่ต้องการจะยิ่งใหญ่ต้องยึดหลัก4ข้อดังนี้
ข้อที่1ตรงกับ ฉันทะ คือความชอบในสิ่งนั้นๆ
ข้อที่2ตรงกับ วิริยะ คือความเพียรพยายาม
ข้อที่3ตรงกับ จิตตะ คือความใส่ใจ และ วิมังสา คือความไตร่ตรอง
:D สรุปไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดสำหรับนักลงทุนทั้งชีวิตอย่าง วอเรนต์ บัฟเฟตต์, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หรือนักเล่นเงินตัวฉกาจอย่าง จอร์ส โซลอส ก็มีโอกาสทำเงินเป็น1000 เป็น10000ล้านได้เช่นกัน แต่นักลงทุนมือใหม่ควรพิจารณาไว้ด้วยว่า
นักลงทุนแบบดร.นิเวศน์ เปรียบเสมือนเรากำลังเลือกบริษัทที่เราต้องการเป็นเจ้าของ ถ้าเราเลือกดี โอกาสขาดทุนน้อยมาก ถ้าเราสามารถหาบ.ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย15%ทบต้น30ปี เงิน1ล้าน จะกลายเป็น64ล้านบาท ในวัยเกษียณของเรา
แต่คิดจะเป็นนักเล่นเงิน หรือสนุกกับการเล่นรอบของหุ้น ถ้าหน้าตักเรามีไม่มากพอที่จะเป็นเจ้ามือ โอกาสที่เราจะถูกเจ้ามือคุมเกมและกินรวบเรามีโอกาสสูง
เพราะฉะนั้นเราควรจะเรียนรู้ให้ครบทุกด้านแต่เลือกที่จะตกผลึกแนวความคิดของเราไปในทางvalueแบบอาจารย์ของผมจะดีกว่านะครับ
ผมขออนุญาติเอาหลักคำสั่งสอนอีกข้อของพระสัมมามัมพุทธเจ้าที่ผมเคยโพสท์ก่อนหน้านี้มาให้พิจารณาไว้ด้วยคือ
พละ5 หมายความว่าการจะทำะไรให้เกิดพลังจะมีองค์ประกอบ5อย่างดังนี้
1.ศรัทธา คือความเชื่อมั่นในสิ่งนั้นๆ ให้มีความเชื่อมั่นในแนวVI
2.ปัญญา คือความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้นจริงๆ คิด-ไตร่ตรองบ. ที่เราจะลงทุนโดยใช้ปัญญา
3.วิริยะ คือความเพียรพยายาม มุ่งมั่นหาข้อมูลและสิ่งที่ต้องการอยากรู้
4.สมาธิ คือความจดจ่อ แน่วแน่ ไม่ตัดสินใจอะไรเร็วเกินไป
5.สติ คือความระลึกได้ รู้ว่ากำลังทำอะไร
เราจะสังเกตุเห็นว่า1จะจับคู่กับ2
ถ้าศรัทธาสูง แต่ ปัญญาต่ำ ก็งมงาย
ถ้าศรัทธาต่ำ แต่ ปัญญาสูง ก็พวกEGOสูง ไม่รับฟังใคร
และ3จะคู่กับ4
ถ้าวิริยะสูง แต่ สมาธิต่ำ ก็พวกไฮเปอร์แอกทีฟ
ถ้าวิริยะต่ำ แต่ สมาธิสูง ก็พวกเฉื่อยชา
และการที่จะทำให้4ข้อแรกสมดุล และสมบูรณ์ก็คือข้อที่5 คือความมีสติ คิดและทำทั้ง4ข้ออย่างมีสติ
อย่างมงาย คิดเหตุและผลอย่างเป็นธรรม
อย่าEGOสูงเพราะเคยประสบความสำเร็จมาแล้ว
อย่าคิดเร็วทำเร็ว หูเบาฟังข่าวลือแล้วซื้อขาย
อย่าตัดสินใจช้า ถ้าปัจจัยพื้นฐานของเหตุและผลเปลี่ยนแปลง
ผมเชื่อว่า นักลงทุนมือใหม่ทุกคนจะประสบผลสำเร็จได้ถ้ายึดแนวทางปฎิบัติตามขั้นต้น
ปล.ที่มาเขียนมาเล่าให้ฟังนี้ ส่วนตัวผมมีวัตถุประสงค์เดียวคือ
ต้องการให้นักลงทุนแนวVIหน้าใหม่ได้มาศึกษา และจงมั่นใจในแนวVI และนำไปหล่อหลอมให้เป็นแนวความคิดของตนเองให้จงได้
เพราะแต่ละท่านจะมีลักษณะนิสัยในการลงทุน และปัจจัยพื้นฐานไม่เหมือนกัน ทำให้ผมเองนึกถึงตัวเองตอนเริ่มลงทุนใหม่ๆว่า เรายังไม่มีหลักยึดเหนี่ยวในการลงทุน
จนได้มาเจอเวปนี้ ได้เจอลายแทงขุมทรัพย์ที่พวกพี่ๆทั้งหลายได้ทิ้งไว้ให้กับน้องๆรุ่นหลัง
ถึงแม้นผมจะลงทุนในตลาดมาแค่1ปี6เดือน แต่ผมมีธุรกิจของตนเองมาเกือบ15ปี ได้มองเปรียบเทียบถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจของบริษัทต่างๆ ผมจึงเป็นแนวVIได้รวดเร็วกว่าคนที่ยังไม่เคยฝ่าวิกฤตNPL
ผมยังอยากจะยืนยันให้น้องๆที่ยังติดเล่นพนันทั้งหลายว่าVIทำเงินให้เราได้จริงๆจากพอร์ตที่ยังเขียวอื๋อจากที่เริ่มเล่นตอนindex770จุด ถ้าไม่ใช่แนวVIป่านนี้พอร์ตผมคงลบอย่างน้อยคือ13%เท่ากับindexที่ลดลง
ส่วนผมถ้าพอร์ตถึงเลข9หลักเมื่อไหร่ ถึงจะคิดว่าตัวเองเก่ง...แต่ตอนนี้ผมขอเป็นเต่าก่อนครับ
ที่มา:
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=11555