ทำงี้ครับ.......
ตั้ง EQ ทุกปุ่ม ไว้ที่ center ซะก่อน ตรง 0 db นั่นแหละ...
แล้วหาเพลงที่เราคุ้นที่สุด...ชอบที่สุด...ชินที่สุด ถ้าเป็นไปได้ขอให้เป็นแผ่น
CD...เปิดเพลงนี้ฟังดู.......เปิดให้ดังนะครับ อย่าเปิดค่อย
พยายามให้ระดับความดังใกล้เคียงกับระดับความดังของการใช้งานจริงๆเลยหละ
(ผลพลอยได้ก็คือ...กว่าจะปรับเสียงเสร็จ หูก็อื้อทั้งวันแหละครับ เมียด่าอะไรก็ไม่ได้ยินไป 1
วัน)สังเกตุเสียงที่เราได้ยินนะครับ ว่ามีอะไรมันมากไป-น้อยไป เสียงกระเดื่องกะเสียง bass guitar
มันกลมกลืนกลมกล่อมมั๊ย...เสียง guitar chord มันโด่ขึ้นมามากเกินไปมั๊ย หรือว่ารองพื้นดีอยู่แล้ว
...เสียงร้องฟังดูชัดเจนสดใสมั๊ย
ไม่ใช่ฟังแล้วเหมือนไม่เต็มใจร้องบอกซะก่อนนะครับ.....ว่า...ปรับยากครับ ! ! ! มันต้องมีประสบการณ์น่ะ
........หูต้องผ่านศึกสงครามทางด้านเสียงมานานพอควรเชียวแหละ
ก็มี trick เล็กๆน้อย แถมให้นะครับ
- เสียงร้องจะอยู่แถวๆ 1k หรือ 1000 Hz
- ย่าน 100 - 500 ถ้ายกมากเกินไป จะทำให้เสียง บวมมมมม
- ย่าน 2000 - 4000 เนี่ยตัวดี.. มันทำให้เสียงแข็งและหอนง่าย
- ขอซะอย่าง ไอ้ปรับเป็นรูปปีกนก เป็นสายรุ้ง เป็นท้องช้างอะไรนั่นน่ะ....มันใช้บ่ได้จ้าาา
- พยายามเน้นการลด...ไม่ใช่การยกนะครับ
- เพลงที่ใช้ปรับเสียงควรจะหลากหลายนะครับ ไม่ใช่ใช้มันอยู่เพลงเดียว ควรจะมีทั้ง jazz ทั้ง rock ทั้ง
acoustic เพลงบรรเลง เพลงร้อง
เฮ้อ.....ก็คงช่วยได้แค่นี้แหละครับ....ลองทำดูนะครับ
การ EQ ให้เสียงชัดเจนมากขึ้น
เค้าบอกว่า ปกติแล้วเนี่ย การที่เสียงนั้นๆไม่มีความเป็นตัวตนที่ชัดเจน (lack of definition) ก็เพราะว่ามีความถี่ช่วง 400-800 Hz มากเกินไป ความถี่ช่วงนี้จะทำให้เสียงมีลักษณะ ' boxy ' (แปลเป็นไทยไงดีล่ะคับ เหมือนอัดเสียงในกล่องอ่ะ อืมม..คงแบบอู้อี้ ไม่ค่อยรู้เรื่องมั้งฮะ)
ส่วนวิธีการแก้ไขก็ทำดังนี้ครับ (ต้องใช้ EQ แบบ parametric หรือ sweep นะครับ)
1.) ให้เราปรับปุ่ม gain หรือ boost/cut ลดลงประมาณ 8-10 dB
2.) sweep ความถี่ไปเรื่อยๆ จนถึงที่ๆคุณรู้สึกว่า เสียงมันมี definition มากที่สุด ไม่ boxy เท่าไรแล้ว
3.) ทีนี้ปรับปุ่ม gain หรือ boost/cut ของเราตามแต่รสนิยมครับ แต่ให้ระวังว่าถ้าลดมากไปจะทำให้เสียงบางได้
4.)ถ้าต้องการความชัดเจนมากอีกหน่อยลองเพิ่มที่ ช่วงความถี่เสียงกลางสูง (upper mids) ประมาณ 1-4kHz เอาแค่ 1-2 dB. ก็พอครับ หรือว่าอยากเพิ่มมากกว่านั้นก็ได้แต่ต้องระวังนิดนึง
5.)ถ้าต้องการเพิ่มความแวววาว, ทอประกายให้กับเสียง (sparkle) ลองเพิ่มช่วง 5-10kHz ดูครับ
6.)ถ้าต้องการเพิ่ม 'air' ให้รู้สึกโปร่งๆ ก็ลองเพิ่มตรง 10-15kHz ครับ
NOTE! ควรที่จะปรับลดเสมอถ้าเป็นไปได้ การปรับเพิ่มนั้น จะทำให้ความสัมพันธ์ของ phase เปลี่ยนไป ซึ่งจะทำให้เสียงนั้นมีสีสันอันไม่พึงปรารถนาได้ ปกติแล้ว ยิ่ง boost มากเท่าไร phase shift ก็มากตามไปด้วย และการ mix ก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่ engineer หลายๆคนใช้ EQ เท่าที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ถ้าเสียงมันดี มันก็ดีนั่นแหละ
เค้าบอกว่านอกจากการปรับ EQ แบบนั้นแล้ว คุณยังสามารถปรับอีกวิธีได้ด้วย ลองทำดูนะครับ
1.) เริ่มจากการปรับ EQ ให้ flat ให้หมด (ปุ่ม boost/cut, gain อยู่ที่ตำแหน่ง 0 หมด) เสร็จแล้วปรับลดเสียงย่านความถี่ต่ำลงให้หมด (หมดเลยนะครับ cut ไป 18-20dB. หรือเท่าที่มันจะมีให้น่ะครับ)
2.) ใช้ EQ ส่วนที่เหลือแทน ค่อยๆ ปรับ upper mids (ประมาณ 1-4kHz) จนเสียงมันมีความหนาพอดีๆ
3.) จากนั้นก็มาปรับเสียง lower mids (ประมาณ 250-900Hz) ให้เสียงมันครบขึ้น
4.) จากนั้นค่อยๆปรับเสียงย่านความถี่ต่ำขึ้นมาครับ (จากที่เราปรับลดไปหมดเลย) ดูให้มันมีความหนักหน่วงพอสมควร แต่ไม่มากไปจนเสียงขุ่นมัว (muddy)
5.) เพิ่มความถี่สูงๆ เพื่อให้มันมี definition มากขึ้น
Equalizer หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า EQ คือการเพิ่มหรือลดความดังของสัญญาณเสียงที่ความถี่ต่างๆ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ
ก็อย่างเช่นปุ่มปรับ Treble, Bass บนเครื่องเสียงที่บ้านนั่นแหละ ก็เป็น EQ อย่างนึง
ที่มีให้ปรับเพิ่ม, ลด เสียงทุ้ม, แหลม
แต่ในตัว EQ plug in ที่เราใช้ในโปรแกรมจะสามารถปรับได้ละเอียดลึกลงไปมากกว่านั้นอีก
EQ จะมีรูปแบบการทำงานอยู่สองลักษณะคือ
แบบแรกเป็นการเพิ่มลดความดังที่บริเวณความถี่นั้น (Bell)
ถ้าวาดเป็นกราฟ แกน x เป็นความถี่ แกน Y เป็นความดัง ก็จะได้รูประฆังคว่ำ (ถ้าเพิ่ม) หรือระฆังหงาย (ถ้าลด)
ส่วนอีกแบบคือแบบ Shelving คือตั้งแต่ความถี่ที่เราเซ็ทเป็นต้นไปจะดังเท่านั้นไปตลอด
ค่า parameter ต่างๆ ที่มีให้ปรับใน EQ ทั่วๆ ไปก็จะมี :
Frequency เลือกความถี่ที่เราต้องการจะปรับ
Gain คือปริมาณที่เราจะเพิ่ม (Boost) หรือลด (Cut) ความดังของเสียงที่ความถี่นั้นๆ
Q คือค่าที่ใช้กำหนดความกว้างของช่วงความถี่เสียง
ซึ่งค่านี้ก็จะไปเกี่ยวกับ Bandwidth โดย Bandwidth = Frequency / Q
ตัวอย่างเช่น เราตั้งความถี่ที่จะปรับไว้ที่ 1000 Hz ค่า Q ตั้งไว้ที่ 10
ดังนั้น Bandwidth ก็จะเท่ากับ 1000 / 10 = 100 Hz
หมายความว่าความถี่ที่มีผลกระทบในการปรับจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 950 Hz ถึง 1050 Hz
อีกซักตัวอย่าง.. ถ้าเราเปลี่ยนค่า Q เป็น 1
Bandwidth ก็จะเท่ากับ 1000 / 1 = 1000 Hz ความถี่ที่จะถูกปรับก็คือช่วง 500 Hz ถึง 1500 Hz
จะเห็นได้ว่าค่า Q ยิ่งมากช่วงความถี่ที่จะถูกปรับก็จะยิ่งแคบ รูประฆังก็จะแคบๆ แหลมๆ เหมาะสำหรับการหาความถี่ที่เฉพาะเจาะจงลงไป
และถ้าค่า Q น้อย รูประฆังจะออกมาบานๆ กว้างๆ ทำให้ได้เสียงค่อนข้าง smooth เพราะความถี่จะถูกเกลี่ย ไม่มีความถี่ที่โดดขึ้นมาชัดเกินไป
EQ แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
1. Fixed-Frequency EQ จะแบ่งช่วงความถี่ไว้เป็น high, mid, low ในแต่ละช่วงก็จะมีให้ปรับ Gain และปรับเลือกความถี่ที่อยู่ในช่วงนั้นๆ
2. Graphic EQ ก็เป็น fixed-frequency แบบนึง มีลักษณะเป็นสไลด์หลายๆ อันเรียงกัน อย่าง EQ ใน WinAmp นั่นแหละครับ
3. Parametric EQ แบบนี้จะสามารถเลือกได้ทั้งความถี่และ bandwidth
4. Paragraphic EQ แบบนี้จะรวม Graphic EQ และ Parametric EQ ไว้ด้วยกัน คือจะมีสไลด์เรียงต่อกันเป็นพรืดแบบ Graphic EQ
และแต่ละสไลด์ก็สามารถเลือกความถี่และ bandwidth ได้อีกด้วย
EQ plug-in จากแต่ละค่ายก็จะมีหน้าตาต่างกันไป
โดยหลักๆ ก็จะแบ่งออกเป็นหลายๆ band ในแต่ละ band จะให้เราเลือกว่าเป็นแบบ bell หรือ shelve
จากนั้นก็ปรับเลือกความถี่ , Gain , ค่า Q ตามต้องการ
บางตัวอาจจะมีปุ่ม on/off ในแต่ละ band มาให้ด้วยเพื่อความสะดวก
ถ้าเราจะเปิด/ปิดการใช้งานบาง band ไม่ต้องเสียเวลามาปรับ gain ให้เป็น 0
ขอขอบคุณ http://www.patid.com/ มา ณ ที่นี้ครับ