0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Spec ของลำโพงนั้น สำคัญไฉน สำหรับการพิจารณาเลือกซื้อลำโพง ต่างๆ นั้น นอกเหนือจากรูปร่าง หน้าตา หรือราคาแล้วเราคงต้องใส่ใจกับสเปคของลำโพงกันบ้างพอสมควร เพื่อให้เราได้ลำโพงที่ตรงกับความต้องการของเราดังนั้นเพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับสเปคต่างๆ ของลำโพงว่า มันมีความสำคัญอย่างไร แต่ละค่าหมายถึงอะไรเราไปดูกันครับ 1. Sensitivity (ความไว) เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพของลำโพง โดยเป็นค่าความดัง เทียบกับวัตต์ และระยะห่างจากลำโพงมีหน่วยเป็นเดซิเบลต่อมิลลิวัตต์ต่อเมตร (dB/mw/m)หรือมักเขียนในรูปแบบ dB/mw(บางแหล่งระบุเป็น dB/2.83v/m @8ohms) ตัวอย่างเช่น - ลำโพงตัวแรกมีค่าความไวที่ 87dB/1w - ลำโพงตัวที่สองมีค่าความไวที่ 90 dB/1w เมื่อจ่ายพลังงานให้กับลำโพง 1 วัตต์เท่ากัน เสียงของลำโพง 90 dB/1wลำโพงตัวที่สอง จะดังกว่าตัวแรกถึง 2 เท่า (ดังกว่า เท่ากับ 3 dB) ณ ระยะห่างจากลำโพง 1 เมตรเท่ากัน แต่อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการพิจารณาค่าความไวของแต่ละลำโพงแล้ว ควรพิจารณากำลังขับสูงสุดที่ลำโพงสามารถรับได้ด้วย เพราะลำโพงบางรุ่นความไวสูง แต่รองรับกำลังขับสูงสุดต่ำ จะเหมาะกับเครื่องเล่นที่มีกำลังขับต่ำ ไม่สามารถรองรับภาคขยายกำลังสูงได้ แต่ในขณะเดียวกัน ลำโพงที่มีค่าความไวต่ำ แต่รองรับกำลังขับสูงสุดสูง ก็จะสามารถรองรับเครื่องเล่นที่มีภาคขยายกำลังสูงได้ แต่จะไม่เหมาะกับเครื่องเล่นที่มีกำลังขับต่ำ มันจะไม่ดังได้ดั่งใจ 2. Input Impedance (ความต้านทาน)ลำโพงจะมีความต้านทานแปรตามความถึ่ แต่ตามสเปคจะเรียกตาม "nominal impedance"ซึ่งมีความต้านทานโดยทั่วไปที่ 4, 6, 8, 16 โอห์ม ยิ่งความต้านทานน้อย ยิ่งต้องใช้กระแสมากเพื่อให้ได้วัตต์สูงหรือเสียงที่ดังชัด ดังนั้นการใช้ลำโพงแบบ 4 โอห์ม จึงต้องใช้พาวเวอร์แอมป์ช่วย เพื่อเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น มากกว่าลำโพงแบบ 8 โอห์ม แต่ทั้งนี้ค่าความต้านทานไม่ได้สัมพันธ์กับเรื่องคุณภาพของเสียงแต่อย่างใดอย่างไรก็ดีการใช้ลำโพงแบบ 4 โอห์ม ควรระมัดระวังในการต่อเข้ากับชุดขยาย เนื่องจากหากต่อลำโพงแบบ 4โอห์มในรูปแบบขนานกันเข้ากับชุดขยายจะได้โหลดขนาด 2 โอห์ม ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับ "Short Circuit"อาจส่งผลให้ชุดขยายของคุณพังได้ 3. Power rating (กำลังขับ)หน่วยของการวัดกำลังขับลำโพง แบ่งออกเป็นสองหน่วยคือหน่วยแรกคือ PMPO (Peak Mornentary Performance Output)จะเป็นหน่วยที่วัดค่าสูงสุดที่ลำโพงสามารถรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปค่าดังกล่าวนี้จะค่อนข้างสูง ส่วนอีกหน่วยคือ RMS(Route Mean Square)เป็นค่ากำลังขับของลำโพงโดยเฉลี่ย ซึ่งจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าและมีค่าค่อนข้างต่ำกว่า สำหรับลำโพงที่มีกำลังขับสูง สามารถรองรับกำลังขับจากภาคขยายได้สูง จะมีราคาแพง และต้องการกำลังขับในระดับทั่วไปที่ค่อนข้างสูง จึงจะได้เสียงที่ดีตามประสิทธิภาพของลำโพง แต่สำหรับลำโพงกำลังขับต่ำ รองรับกำลังขยายได้ต่ำ เมื่อนำมาใช้งานกับภาคขยายที่สูงกว่ามาก อาจทำให้ลำโพงพังได้แต่ทั้งนี้บางทีคุณอาจคิดว่าเครื่องขยายขนาด 200 วัตต์ต่อช่อง มีอันตรายกว่าเครื่องเล่นขนาด 50 วัตต์ต่อช่อง เมื่อต่อใช้งานกับลำโพงที่มีกำลังขับ 100 วัตต์ แต่ในความเป็นจริง เมื่อเปิดที่ระดับเสียงดังเท่าๆ กัน เครื่องเล่นขนาด 50 วัตต์อาจมีกำลังขับไม่เพียงพอต่อลำโพง ทำให้ไม่สามารถขับลำโพง 100 วัตต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจส่งผลเสียต่อลำโพงของคุณ หากใช้กำลังขับสูงสุด เพื่อพยามขับลำโพงให้เสียงดัง4. Frequency Response(การตอบสนองความถี่)ความถี่ของเสียงที่มนุษย์ทั่วไปสามารถได้ยินอยู่ในช่วง 20 - 20kHz โดยความถี่สูงหรือเสียงสูงจะมีลักษณะเสียงแหลมในขณะที่ความถี่ต่ำหรือเสียงต่ำจะมีลักษณะเสียงทุ้ม ลำโพงแบบ Full range ที่ใช้ลำโพงตัวเดียวขับเสียงทุกความถี่ควรจะสามารถขับเสียงได้ตั้งแต่ 20 - 20 kHz เพื่อให้สามารถแสดงเสียงทุกความถี่ที่คุณสามารถได้ยินแต่โดยทั่วไปจะมีการแยกลำโพงสำหรับขับเสียงความถี่ต่างๆ ได้แก่ ลำโพงเบส ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานสูง และดอกลำโพงที่ใหญ่ สำหรับขับเสียงความถี่ย่าน 20 - 200 Hz และลำโพงเสียงกลาง/สูง (mid high) ที่ใช้ลำโพงดอกเล็กขับเสียงความถี่ย่าน 1,000 Hz นอกจากนี้ยังมีการใช้ tweeter ที่มีขนาดเล็กมาใช้สำหรับขับเสียงแหลมที่มีความถี่มากกว่า 5kHz 5. ขนาดและน้ำหนักของลำโพงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะหากคุณไม่ได้ต้องการลำโพงแบบพกพาที่น้ำหนักเบา รูปร่างเล็กเป็นหลักแล้วโดยทั่วไป ลำโพงที่มีขนาดใหญ่และหนักจะดีกว่า โดยเฉพาะเกี่ยวกับลำโพงที่เน้นเบส หรือจำพวกซับนั้นลำโพงที่ใหญ่จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าสำหรับการเลือกซื้อลำโพง นอกเหนือจากการได้ลองฟังเสียงของลำโพงแล้วจึงควรทราบสเปคคร่าวๆ เกี่ยวกับลำโพงที่คุณต้องการเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเงินให้กับลำโพงบางรุ่นที่มีสเปคเกินความต้องการของคุณครับ