พลังขับเคลื่อนที่แท้จริงจาก...กฎความไม่สมดุล : คิดชายขอบ วันก่อนมีโอกาสอ่านเจอผลการ research ครั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ลงขันโดยบริษัทมาเฟียยักย์ใหญ่หลายๆ เจ้า สั่งทำการวิจัยครั้งใหญ่ที่สุด แล้วแชร์ผลวิจัยกัน มหากาพย์การวิจัยครั้งนี้ทำการสำรวจธุรกิจ พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลก ด้วยจำนวน "แซมปลิ้ง ไซด์" มากเป็นล้านๆ คนทุกพื้นที่ในโลก เสียเงินขนาดนี้ผลวิจัยที่ได้แบบละเอียด คงไม่มีใครเอามาแจกฟรี แต่มีตัวเลขอันหนึ่งที่น่าสนใจมากๆๆๆๆๆ
การวิจัยครั้งนี้ พบว่า... 80% ของยอดขาย ในทุกธุรกิจ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่แค่ไหน มักจะมาจากลูกค้า จำนวน 20%
เข้าใจไหมครับ!!! ไม่เป็นไร....อ่านต่อกันเถอะ "80 : 20" เลขนี้ ชวนให้ผมนึกถึง.. ทฤษฎีอันหนึ่ง Pareto principle 80-20 rule มารูจักพื้นเพทฤษฎีนี้กันซักนิดหนึ่ง...
เมื่อปี 1906 ร้อยปีมาแล้ว Vilfredo Pareto ชาวอิตาลี่ ได้ตั้งข้อสังเกตุ อันโด่งดัง ในยุคนั้นไว้ว่า...
20% of the population owned 80% of the property in Italy
Pareto ได้สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และความมั่งคั่งกับสัดส่วนประชากรของประเทศอิตาลีในศตวรรษที่ 19 พบว่า "ร้อยละ 80 ของรายได้และความมั่งคั่งของประเทศท้งหมดมาจากประชากรร้อยละ 20 ของประเทศ"
80% ของทรัพย์สิน ในอิตาลี่ ถูกครอบครองโดย คน 20% (คุ้นๆนะ)
Pareto ยังแสดงข้อมูลนี้ ในหลายช่วงเวลาของอิตาลี และไม่น่าเชื่อประเทศอื่นๆ ในเวลานั้น ในทุกๆ แห่ง ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน Pareto จึงตั้งชื่อปรากฏการณ์นี้ว่า
Pareto principle 80-20 rule
80 : 20 ก็ไม่เห็นแปลก... !!
ยังครับ ยังมีปรากฏการณ์อื่นที่สอดคล้องกับสิ่งที่ Pareto ค้นพบ มาดูกันต่อ ในเวลาต่อมาต่อมานักวิชาการหลายๆคนค้นพบความสัมพันธ์ ของสัดส่วน 80 : 20 ในหลายๆ เรื่องอย่างน่าทึ่ง เช่นว่า...
"สินค้า จำนวน 20 % จะกินพื้นที่ 80 % ใน warehouse"
"เพื่อนหรือญาติ 20% เขาใช้คำว่า...มีส่วน เกื้อกูลเรา (nurturing support and satisfaction) เราถึง 80%"
"ข้อบกพร่อง 20 % เป็นเหตุของปัญหา 80%"
"งาน 20% กินเวลา 80% ของเรา"
มีคำศัพท์เพียง 700 คำในภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ถึงสองในสามของการสื่อสารพูดคุยในชีวิตประจำวัน และ 700
คำเป็นรากศัพท์ของคำในภาษาอังกฤษทั้งหมดกว่าร้อยละ 80
Twenty percent of your activities will account for 80 percent of your success.
หรือเสื้อผ้าสุดสวยในตู้เสื้อผ้าเรา..ลองดูซิว่าเราใช้กี่เปอร์เซนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย
80/20 จึงเชื่อว่าเป็นตัวเลขมหัศจรรย์ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในความไม่สมดุลของสิ่งต่างๆ ในโลก และในเวลาต่อมากฎของ Pareto ถูกมาประยุกต์ และถูกเรียกว่า กฎของการออกแรงน้อยที่สุด (Principle of Least Effort) เป็นกฎยอดนิยม ตอลดกาล ในสิ่งที่เรา ใส่ไป 20% จะให้ผลออกมาให้เรา 80% บริษัท ใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งได้นำเอาข้อสังเกตของความไม่สมดุล หรือกฎ 80/20 นี้ มาประยุกต์ใช้ เช่น บริษัทจะทราบว่ายอดขาย กำไร หรือการใช้งาน ไม่ได้มาจากส่วนใหญ่ (จำนวนสินค้า จำนวนคน กลยุทธ์) อย่างเท่าเทียม แต่มาจากุส่วนน้อยที่มีคุณภาพ ต่างหาก
หรือ ในปี 1963 บริษัท IBM สำรวจพบว่าร้อยละ 80 ของเวลาและทรัพยากรในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะเป็นการใช้งาน จากโค้ดของ Operating System เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ดังนั้น IBM จึงได้ปรับปรุงซอฟต์แวร์ให้ใช้ประโยชน์จากส่วนร้อยละ 20 นี้ให้ดีขึ้น ทำให้ส่วนนี้สามารถถูกใช้งานได้อย่างสะดวกง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงทำให้คอมพิวเตอร์ของ IBM ในยุคนั้นทำงานเร็ว และมีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่ง
นอกจากนั้นวิศวกรอเมริกันชื่อ Dr.Joseph Juran ได้นำ Pareto principle 80-20 rule มาต่อยอดให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Quality Revolution ระหว่าง 1950 - 1990 ต่อมาได้พัฒนากลายเป็นแนวคิดของ Total Quality Control และ Six Sigma ในเวลาต่อมา ผลงานส่วนใหญ่ จะมาจากการทำงานที่เกิดขึ้นในการใช้เวลาส่วนน้อยในแต่ละวัน หรือเวลาทำงานทั้งหมดของเรามิได้มีผลต่อความก้าวหน้าในงานของเรา ดังนั้นเราต้องทราบว่าเวลาที่สำคัญส่วนน้อยที่เป็นประโยชน์มากนั้นอยู่ตรงไหน และจะใช้มันให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไรต่างหาก
ในสิ่งที่เรา ใส่ไป 20% มักจะให้ผลออกมาให้เรา 80%
เคยไหม?
"ทำงานสายตัวแทบขาด แต่ไม่เห็นได้งานสมกับแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทไป" "การตัดสินใจไม่กี่ครั้งกลับมีความสำคัญมากกว่าการตัดสินใจส่วนใหญ่" เราอาจเคยจะประหลาดใจที่ได้เห็นเพื่อนบางคนไม่ได้เรียนหนัก แต่มีความรู้และได้คะแนนดี ซึ่งเราจะพบว่าหนังสือที่ต้องอ่าน หรือเนื้อหาการบรรยายที่ต้องทำความเข้าใจทั้งหมดมีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เป็นหัวใจในการตอบคำถามในการสอบ ประเด็นอยู่ตรงที่...
"ร้อยละ 20 ของคุณนั้นคืออะไร ? และอยู่ตรงไหน?" หามันให้เจอ... !!
ลองประยุคสัดส่วนแห่งความไม่สมดุล 'Pareto principle 80/20 rule' นี้มาใช้ดูครับ ทั้งงาน ธุรกิจ และ ส่วนตัว สำหรับคุณมันอาจจะเป็นสัดส่วนอะไรก็ได้ 70//30, 90/10, 85/15.....
แค่ค้นหาจุด "sweet spot" ของตัวคุณคุณให้เจอ!!!
.......................................
(หมายเหตุ พลังขับเคลื่อนที่แท้จริงจาก...กฎความไม่สมดุล : คิดชายขอบ)
ที่มา:
http://www.komchadluek.net/detail/20121012/142166/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81...%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5.html