MD หรือ MINIDISC ที่เคยคาดกันไว้แต่แรกว่าไม่น่าจะง่ายนักที่จะมาแทน CD ก็เป็นไปตามคาด เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะ CD เองนั้นยังใช้งานได้ดีอยู่ ตัวแผ่นก็มีให้แพร่หลาย ผู้คนที่มีความคุ้นเคย ซื้อใช้กันอยู่เป็นร้อย ๆ แผ่น ที่นี้ถ้าอยู่ ๆ จะเปลี่ยนมาเล่น MD ก็คงต้องเริ่มต้นกันใหม่จากศูนย์จึงยากอยู่ที่ใคร่ ๆ จะหันมาเล่น MD กันง่าย ๆ อนาคตของ MD ในช่วง 3-5 ปี ข้างหน้าในบ้านเราก็น่าจะอยู่ประมาณนี้ คือ ยากที่จะเข้ามาเล่นกันแพร่หลายด้วยเหตุผลข้างต้น อย่างไรก็ตามเราจะพูดถึง MD อีกครั้งในแง่เทคนิคเท่านั้น เพื่อทบทวนอีกครั้งว่ามันคืออะไร และจะเป็นประโยชน์กับนักเล่นหน้าใหม่ที่อยากจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย
การพัฒนาของ MD
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีด้านออดิโอนั้นพัฒนามาเรื่อย ไล่จากสมัยเอดิสันที่ใช้กระบอกแว็กซ์บันทึกเสียงเริ่มแรกของโลก มาเป็นการใช้แผ่นเสียง, เทปม้วน, เทปคาสเส็ทท์ CD, DAT , DCC และ MD
จุดที่ถือว่าเป็น การพลิกผัน จริง ๆ คือช่วงที่มี CD เข้าสู่วงการ เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นหมายถึง การเปลี่ยน ฟอร์แม็ท ของการเล่นจากอะนาล็อคมาเป็นดิจิตตอล อันมีความร้ายกาจกว่าด้วยคุณภาพเสียง, มีความคงทนกว่าด้านซอฟท์แวร์ (หรือตัวแผ่นเทียบกับเทป/แผ่นเสียง), มีความกะทัดรัด, น้ำหนักเบากว่า ทำให้ CD ใช้เวลาสตาร์ทแค่ 4-5 ปี ก็เป็นที่นิยมเล่นกัน และมีราคาถูกลงตลอดอย่างไรก็ดีเทียบกับเทปอะนาล็อคแล้ว CD จะแพ้ก็แค่ไม่สามารถอันบันทึกเสียงได้เท่านั้น จุดนี้เองที่เป็นโอกาสแจ้งเกิดของ MD เพราะนอกจากจะมีทุกอย่างเหมือน CD ในแง่คุณภาพเสียงแล้ว ยังเล็กกะทัดรัดลงไปอีก และอัดบันทึกเสียงได้
ผู้ที่พยายามผลักดัน MD ให้เกิดในวงการ คือ SONY แม้จะยังไม่ได้รับการตอบสนองในแง่ของตลาดนักแต่ก็ยังมุ่งมั่นอยู่ ปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนอย่างมากกว่า MD จะได้รับความนิยมหรือไม่ ก็คือตัวแผ่นนั่นเอง ซึ่งแม้ SONY จะมี CBS ในมือ แต่สำหรับค่ายเพลงสังกัดอื่นจะมีความร่วมมือด้านซอฟท์แวร์แค่ไหนก็น่าคิด เพราะคงไม่มีใครยอมขาดทุนกับการผลิตแผ่น MD แล้วขายไม่ได้ตามปริมาณที่มากพอแน่นอน พูดถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี MD นั้นล้ำหน้าอยู่ 5 ประการด้วยกัน คือ
1. ระบบค้นหาเพลงรวดเร็ว คือเร็วกว่าเทปและเทียบเท่า CD ตอนเลื่อนกดปุ่มเลือกเพลงไม่กี่วินาทีก็ไม่เสียงเพลงขึ้นมาทั้งนี้เพราะให้ระบบ RANDOM ACCESS FUNCTIONING ซึ่งสุ่มหาสิ่งที่ต้องการได้รวดเร็ว และเหนือกว่า CD ที่อัดบันทึกได้ ซ้ำยังมีระบบ PREGROOVES ที่ช่วยให้เราค้นหาสิ่งที่เราต้องการได้ง่าย รวมทั้งยังมีระบบสารบัญที่เราสามารถจัดและกำหนดชื่อสิ่งที่เราบันทึกเข้าไปได้ด้วยตัวเอง ที่เรียกว่า USER TABLE OF CONTENTS (UTOC) อีกด้วย
2. มีขนาดแผ่นเล็กกะทัดรัด คือแค่ 6-7 ซม. สำหรับเส้นผ่าศูนย์กลาง ที่บรรจุมาในตลับพลาสติคบาง ๆ ลักษณะคล้ายแผ่นดิสค์สำหรับคอมพิวเตอร์สมัยนี้ ทำให้ไม่ถูกสัมผัสกับมือและสิ่งปรกรอบข้างง่ายเหมือน CD โอกาสจะมีรอยขีดข่วน, รอยนิ้วมือจึงไม่มีเหมือน CD
3. มีทั้งแบบธรรมดาและแบบอัดบันทึกได้ แบบธรรมดาก็ไม่น่าตื่นเต้นเท่าแบบอัดได้ แถมยังเป็นการอัดบันทึกแบบดิจิตอลที่เหนือกว่าเทปอะนาล็อคที่เราใช้ ๆ อยู่มาก ตัวแผ่นที่สร้างจากแม็กนีโตออปติคัส ดิสด์ (MAGNETO-OPTICAL DISC) ที่ใช้เทคโนโลยีทางสนามแม่เหล็กสมัยใหม่ที่เรียกว่า MAGNETIC FIELD MODULATION ทำให้แผ่น MD สามารถถูกบันทึกได้โดยง่ายและหลายครั้ง จนกว่าอะไรจะพังไปข้างระหว่างตัวเครื่องกับตัวแผ่น SONY คิดระบบนี้ขึ้นมาได้ตั้งแต่ปี 1989 โน่น อันนี้ต้องนับถือโดยใช้หัวเลเซอร์บีมโฟกัสยิงไปที่จุดเดียวกันในฝั่งตรงข้าม จึงเป็นการผสมผสานของเลเซอร์ และสนามแม่เหล็กเข้าด้วยกันสำหรับ MD รุ่นที่อัดบันทึกได้
4. ใช้ระบบบีบข้อมูลในการอัดเนื่องจากแผ่น MD มีขนาดเล็กกว่า CD ถ้าใช้ระบบอัดบันทึกแบบ CD ก็จะบรรจุข้อมูลได้แค่ 1/5 ของแผ่น CD เท่านั้น ทำให้เล่นได้แค่ 15 นาทีเท่านั้น SONY จึงใช้ระบบ ATRAC ที่ย่อมาจาก ADAPTIVE TRANSFORM A COUSTIC CODING เพื่อบีบอัดข้อมูลแบบดิจิตอล (DIGITAL DATA COMPRESSION) ลงในแผ่นเล็ก ๆ ของ MD ทำให้ยืดเวลาเล่นออกไปถึง 74/80 นาที โดยคุณภาพเสียงยังดีเหมือน CD
5. มีระบบป้องกันการตกร่องตอนกระเทือน เราคงมีเรื่องน่าเบื่อของการเล่น CD อยู่อย่าง คือ พอรถตกหลุมแรงหน่อยมันจะ SKIP (เกาะร่องไม่อยู่) ทันทียิ่งถ้าเป็น CD พกติดตัวพวกดิกค์แมนหัวเลเซอร์กระเพื่อมตามแรงกระเทือน ซึ่งระบบรองรับที่มีทั้งช็อคและสปริงตัวเล็ก ๆ ซึมซับไว้ไม่ได้หมด MD ไม่ได้แก้ปัญหานี้ โดยพัฒนาระบบกันสะเทือนเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางกันได้หมด แต่หันมาใช้ระบบเมโมรี่ความจำแทน โดยกวาดเก็บข้อมูลในแผ่นช่วงประมาณ 3 วินาทีในช่วงนั้น พอขับรถตกหลุมจนหัวอ่านกระเพื่อม เครื่องดึงเมโมรี่นี้มา เสียบ เข้าไปแทนทำให้เสียงดนตรีมีตลอดไม่ขนาดช่วง ในระหว่างนั้นก็รอเพียงแค่หัวอ่านข้อมูลกลับไปเกาะเแทร็คเหมือนเดิมเท่านั้น
จากรายละเอียดของ MD ที่กล่าวมาคงเห็นแล้วว่า อนาคตของมันน่ะมีแน่เพียงแต่จะรุ่งโรจน์แค่ไหน เพราะเหตุการณ์มันไม่เหมือนตอน CD เข้ามาแทนที่แผ่นเสียอะนาล็อค ซึ่งในตอนนั้น CD ได้เปรียบเรื่องคุณภาพเสียงที่ดีกว่าแบบ พลิก ประวัติศาสตร์ แต่ในกรณีของ MD ขณะนี้สิ่งที่เหนือว่าอยู่ที่สามารถอัดบันทึกได้เท่านั้น เพราะคุณภาพเสียงก็พอ ๆ กัน ขนาดก็ไม่ได้ถือว่าเล็่กกว่ากันเท่าใดนักและรื่องการกันสะเทือนที่ทำได้กว่า CD แต่เสียเปรียบคือตัวซอฟท์แวร์ เพราะ CD นั้น ขายทั้งเครื่องทั้งแผ่นไปหลายสิบหลายร้อยล้านแผ่นแล้วทั่วโลก การจะโน้มน้าวให้ผู้คนยอมควักเงินซื้อเครื่องเล่น MD เครื่องใหม่กับแผ่น ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าเป็นชุดโฮมยูสซ์ที่เครื่องเล่น CD นั้นไม่มีปัญหาเรื่องตกร่อง (เพราะการเล่นในบ้านไม่มีแรงกระเทือนอะไร) ด้วยแล้วอนาคตของ MD จึงไม่สดใสนัก ในการเล่นโฮมยูสซ์ในบ้านเรา
ในด้านการพัฒนาทางด้านงาน PA หรือแม้กระทั่งงานแข่งเครื่องเสียง
ทั้ง 2 ด้าน การใช้ MD ก็ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพราะอย่างที่บอก MD ให้คุณภาพเสียงเทียบเท่า CD แต่สิ่งที่ CD ทำไม่ได้ก็คือการบันทึก เพราะการบันทึกนั้น CD จะถูกจำกัดที่ตัวฮาดแวร์ ก็คือต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวจัดการนั่นเอง ถึงแม้ว่ายุคใหม่ การใช้ CD/RW แพร่หลายแต่ก็ยังมีการจำกัดเกี่ยวกับการจัดการบนแผ่นก็ยังทำดีได้ไม่พอ เมื่อเทียบกับ MD
MD จึงเหมาะสำหรับ การทำเพลง การเลือกเพลงที่ต้องการ การบันทึกสด และบันทึกต่อเนื่องได้โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่บันทึกจะเป็นตอนไหน มีเสียงเพลง หรือมีเสียงพูด เราสามารถบันทึกได้อย่างต่อเนื่องเพราะอย่างที่บอก MD สามารถจัดการหลังจากการบันทึกได้ในตัวเอง อย่างเช่น การลบช่วงที่ไม่ต้องการออก/การแบ่งแยกแทร็ก/การลบแทร็ก/การย้ายแทร็ก/การรวมแทร็ก/การตั้งชื่อแผ่น/การตั้งชื่อเพลง (ภาษาไทยไม่รองรับ) MD สามารถจัดการได้ทันที นี่คือข้อดีที่ CD ไม่สามารถทำได้ทันที แผ่นมีขนาดเล็ก ปกปิดมิดชิด ไม่มีการสะดุด และที่เน้นก็คือเรื่องของคุณภาพเสียงที่เทียบเท่า CD และโดยรวมๆตรงนี้หละครับที่เป็นจุดขายของ MD ที่ยังคงอยู่คู่กับนักดนตรีและวงดนตรีต่างๆไปอีกนาน...