ต้องยอมรับนะครับว่าการใช้หูฟังมอนิเตอร์หรือที่เรียกว่า in-ears monitor โดยเรียกย่อๆกันว่า IEM นั้นเป็นที่นิยมมากในการทำระบบเสียงกลางแจ้ง เพราะว่าสามารถใช้งานสะดวกสบาย สามารถควบคุมค่าความดังเบาได้เฉพาะบุคคล ทำให้สะดวกต่อการทำมอนิเตอร์บนเวทีเป็นอย่างยิ่ง ช่วยลดเสียงหอนจากการเพิ่มมอนิเตอร์อย่างเกินพิกัดเสียงบนเวที ที่มักพบเจออยู่เป็นประจำจนไม่สามารถควบคุมความสมดุลเสียงให้ได้ดีได้ กลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวทั้งนักดนตรีและเอ็นจิเนียร์ ปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ถือเป็นปัญหาคลาสสิคที่พบเจอกันอยู่เป็นประจำในการทำระบบเสียงมอนิเตอร์บนเวทีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เสียงหอน (feedback) ที่เกิดขึ้นบนเวที หรือ ความไม่ชัดเจนของเสียงจากมอนิเตอร์ ความที่ไม่สามารถควบคุมค่าความดังเสียงบนเวทีได้ ส่วนมากมาจากการเฉลี่ยย่านความถี่ไม่ถูกต้องนัก ทำให้นักดนตรีไม่ได้ยินเสียงตัวเองอย่างชัดเจน นั่นประการหนึ่ง ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากนักดนตรีเองที่หูตึงบ้าง(เรื่องจริง) หรือ เปิดแอมป์กีต้าร์บนเวทีดังเกินไป ตีกลองดังเกินไป เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้นักร้องไม่ได้ยินเสียงตัวเอง จึงเป็นที่มาของการร้องขอเสียงที่มอนิเตอร์ของนักร้องให้ดังขึ้นตลอดเวลา และเมื่อมอนิเตอร์เอ็นจิเนียร์เพิ่มค่าความดังให้มากไป ก็เสี่ยงต่อเสียงที่จะย้อนกลับเข้าสู่ไมโครโฟนของนักร้อง และนั่นก็เป็นสาเหตุของเสียงหอนที่จะตามมาในที่สุด ปัญหาจึงวนเป็นวงกลมแก้ไม่หายตลอดงานจนจบไปเลยก็มีให้เห็นบ่อยๆ
ดังนั้น in-ear monitor จึงเปรียบเสมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแก้ปัญหาคาใจเหล่านี้ออกไป ด้วยการให้เสียงมอนิเตอร์ส่วนตัวไปเลยสำหรับนักร้อง มือกลอง หรือ นักดนตรีคนอื่นๆที่ต้องการความชัดเจนและความดังเฉพาะตัวเองเท่านั้น เมื่อผู้ใช้ๆงาน in-ear monitor ค่าความดังเสียงของมอนิเตอร์บนเวทีก็ลดลงไป ทำให้ซาวเอ็นจิเนียร์สามารถควบคุมปรับแต่งค่าความดังเสียงของระบบมอนิเตอร์ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และป้องกันเสียงหอนอันน่ารำคาญอีกด้วย
ที่มา In-ear monitor เกิดขึ้นมาในต้นยุค80โดยความพยายามในการหาระบบมอนิเตอร์ส่วนตัวของสองศิลปินชื่อดังคือ Todd Rundgren and the Utopia , Stevie Wonder ซึ่งต้องการระบบเสียงส่วนตัวที่สามารถปรับความดังเบาเสียงตามที่ต้องการได้ ซึ่งกลายเป็นการจุดประกายให้เกิดระบบ IME ขึ้นมาซึ่งในยุคแรกๆราคาของIEMยังสูงอยู่มาก ศิลปินที่มีเงินเท่านั้นจึงจะมีเอาไว้ใช้ส่วนตัวหรือใช้ทัวร์ได้ แต่ในปัจจุบันราคาถูกลงจนสามารถซื้อมาใช้ได้ง่ายกว่าแต่ก่อน ใครๆก็สามารถซื้อหามาใช้งานกันได้ง่ายขึ้น จนกลายมาเป็นเครื่องมือส่วนตัว และ เครื่องมือมาตราฐานหลักในการทำงานแสดงสดดนตรี งานออกอากาศ เป็นต้น
ประเภทของมอนิเตอร์
มอนิเตอร์ที่เราคุ้นเคยทั่วๆไปก็เป็นแบบลำโพงวางบนพื้นที่เรียกว่า wedge-shaped floor monitor ตัวลำโพงที่นิยมใช้งานประกอบไปด้วยลำโพง wooferและtweeter ซึ่งให้การกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่90องศาโดยประมาณ ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ลำโพงวางอยู่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน ส่วนมอนิเตอร์แบบที่สองจะเป็นแบบที่เรียกว่า in-ear monitor เป็นมอนิเตอร์ส่วนตัวที่ผู้ที่ได้ยินต้องสรวมใส่หูฟังเพียงอย่างเดียว ทำให้ได้ความคมชัด รายละเอียด ของเสียงดีขึ้น แต่ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นมอนิเตอร์ให้กับผู้ใช้งานเช่นเดียวกัน
ประเภทของมอนิเตอร์แบบพื้นฐานแยกแยะไปตามลักษณะการใช้เครื่องขยายเสียง เช่น ลำโพงมอนิเตอร์ที่มีเครื่องขยายเสียงอยู่ในตัวก็จะเรียกว่า power monitor สำหรับลำโพงมอนิเตอร์ที่ไม่มีเครื่องขยายเสียงอยู่ภายในตู้ลำโพง เราเรียกว่า non power monitor ดังนั้นลักษณะของมอนิเตอร์พื้นฐานทั่วไปก็จะมีรูปร่างที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว สำหรับ in-ear monitor ก็จะมีรูปร่างหน้าตาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับมอนิเตอร์พื้นฐานทั่วไป
ทำไมถึงต้องใช้
การแสดงดนตรีโดยพึ่งพามอนิเตอร์บนเวทีจากลำโพงล้วนๆเป็นวิธีการที่มาดั้งเดิม และก็ยังใช้งานได้ดีจนถึงปัจจุบันนี้ ความลำบากของนักดนตรีก็คือ ความไม่ชัดเจนของเสียงที่ได้ยิน โดยเฉพาะความคมชัดที่มีความสำคัญต่อเสียงนักร้องโดยตรง นักร้องต้องการความคมชัดของเสียงที่ดีในขณะร้องเพลงเพราะว่าความคมชัดที่ดีมีผลต่อจังหวะในการร้อง มีผลต่อระดับความสูงต่ำของเสียง(pitch) ที่มีผลต่อเสียงร้องที่อาจเพี๊ยนได้ง่ายๆตลอดเวลา หรือกับนักดนตรี เช่น มือกลองที่ได้ยินเสียงเบสจากมอนิเตอร์ไม่ชัด หรือ จากเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆก็มีผลต่อจังหวะที่กำลังเล่นอยู่
จากตัวอย่างเบื้องต้นน่าจะพอชี้ให้เห็นภาพรวมกว้างๆแล้วว่า มอนิเตอร์มีความสำคัญต่อนักดนตรีเป็นอย่างยิ่งเพราะทุกสิ่งที่กำลังเล่นอยู่ แขวนไว้กับระบบมอนิเตอร์ทั้งสิ้น ดังนั้นการที่จะพึ่งพามอนิเตอร์บนเวทีเพียงอย่างเดียวก็เป็นหนทางเลือกเดียวเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ระบบ IME จึงเข้ามาเป็นตัวเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับระบบมอนิเตอร์ส่วนตัว ซึ่งให้ความคมชัดสูงเพราะติดอยู่ที่หู เมื่อเป็นเช่นนี้ระดับความดังเบาเสียงก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ใช้งานโดยตรง ซึ่งสามารถปรับได้ตามความพอใจโดยไม่ทำให้ระบบมอนิเตอร์ทั้งเวทีรวนไปด้วย
อย่างเช่นนักร้องประสานเสียงบนเวทีสี่คน ทุกๆคนสรวมระบบ IME ทั้งสี่คน สิ่งแรกที่จะได้ก็คือไม่มีลำโพงมอนิเตอร์วางบนพื้นแถวที่นักร้องทั้งสี่ยืนอยู่ ผลที่ได้คือความเงียบ ณ บริเวณนั้น ทำให้ได้ยินเสียงร้องประสานของแต่ละคนชัดเจนขึ้น ความดังเบาของแต่ละคนก็สามารถปรับเร่งลดได้ ทำให้นักร้องแต่ละคนมีความรู้สึกสบายในขณะร้องมากขึ้น ใครอยากขอให้เสียงของใครดังขึ้นในระบบมอนิเตอร์ก็สามารถทำได้อิสระมากขึ้น ผลก็คือ ความสมดุลเสียงที่ร้องออกมามีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น และที่สำคัญก็คือ มอนิเตอร์เอ็นจิเนียร์สามารถควบคุมและลดอาการเสียงหอนที่เกิดจากไมโครโฟนทั้งสี่ตัวบนเวทีลงไปได้มากขึ้น และช่วยให้สามารถเล่นกับค่าความดัง ความคมชัดเจนของย่านความถี่ได้ดีขึ้น เนื่องจากในขณะปรับใช้งานอีคิวก็ไม่ต้องกลัวเรื่องของเสียงหอนในบางย่านความถี่ที่เสียงดังออกมาจากลำโพงมอนิเตอรแล้วรั่วเข้าสู่ไมโครโฟนทั้งสี่ตัวของนักดนตรีนั่นเอง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระบบ IME จึงเป็นที่นิยมใช้กับศิลปินดังๆทั่วโลก เพราะให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการบันทึกเสียงด้วยการใช้หูฟังในสตูดิโอเลย นักดนตรีจะได้ทุกสิ่งที่ตัวเองอยากได้โดยไม่กวนกับคนอื่น นั่นก็คือช่วยลดการเกิดเสียงหอนได้อย่างมากและทำระบบมอนิเตอร์ง่ายกว่าเก่าก่อน และที่สำคัญก็คือ ความอิสระในการเคลื่อนไหวของนักดนตรีที่สามารถเดินได้ไปที่ไหนบริเวณไหนบนเวทีได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของจุดอับเสียง จุดที่ทำให้เกิดเสียงหอนได้ง่าย ซึ่งการวางลำโพงมอนิเตอร์กระจายบนเวทีไม่สามารถให้ความคล่องตัวในการเล่นกับเวทีของนักดนตรีที่ชอบการเคลื่อนไหวในขณะแสดง
เทคนิคการเลือกซื้อ IME
เทคนิคการเลือกซื้อระบบ IME จะจำแนกออกเป็นหัวข้อย่อยๆดังต่อไปนี้เพื่อความเข้าใจและอ่านง่าย
ลอง ลอง ลอง
การเลือกซื้อขอแนะนำให้ลองด้วยตัวเองเท่านั้นเป็นหนทางเดียวที่สามารถตอบคำถามว่าดีหรือไม่ ชอบหรือปล่าว สรวมแล้วเข้ากับหูของเราหรือไม่ พอดี คับไป หลวมไป ดังนั้นต้องลองด้วยตัวเอง การลองระบบ IME ควรลองเลือกดูหลายๆรุ่น หลายๆยี่ห้อ ทั้งที่เขาบอกว่ามันดี กับที่เขาบอกว่าก็งั้นๆ มีโอกาสลองให้หมดเสียก่อน แล้วตัดสินใจด้วยความชอบของตัวเราเองเป็นที่ตั้ง อย่าเชื่อคนรอบข้าง อย่าเชื่อคนขาย เชื่อเสียงที่เราได้ยิน เชื่อในความชอบของรสชาติเสียงเอาไว้เป็นอันดับแรก เพราะว่าเราคือผู้ใช้งานตลอดเวลา ตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ
สรีระใบหู
สิ่งสำคัญลำดับต่อมาก็คือความพอดีกับสรีระใบหูของเรา เรื่องนี้สำคัญมากเพราะเวลาอยู่บนเวทีความกระชับ ไม่หลุดง่าย และสรวมได้นานโดยไม่เกิดอาการเจ็บที่ใบหู ล้วนสำคัญมองข้ามไม่ได้เลย ลองนึกภาพดูเวลาสรวมใส่แล้วร้องเพลงแรกก็โอเคดี พอเข้าเพลงที่สองเป็นเพลงเร็วและต้องวิ่งกระโดดไปมา หูฟังจะหลุดอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่กระชับกับใบหู ทำให้ต้องคอยจับหูฟังเอาไว้ตลอดเวลา แบบนี้ก็ทำให้หงุดหงิดเป็นอย่างมากในขณะร้องเพลงไหนมือหนึ่งจะต้องถือไมโครโฟน และอีกมือหนึ่งจับที่หูฟัง แค่นึกภาพก็ดูตลกแล้วทำให้อารมณ์ในขณะร้องเพลงเสียไปโดยใช่เหตุ
ในทางกลับกันหูแน่นกระชับกับใบหูดีมาก วิ่งกี่รอบบนเวทีหรือกระโดดกี่ร้อยครั้งก็ไม่หลุด แต่ใส่ร้องไปซักเพลงที่สี่เริ่มเจ็บใบหูแล้ว ในใจอยากจะถอดออกมากๆแต่ก็ทำไม่ได้เพราะกลัวไม่ได้ยินเสียงมอนิเตอร์ เลยต้องทนร้องจนจบงาน แบบนี้เลิกแล้วนอนปวดใบหูไปอีก2อาทิตย์ได้เลย
ดังนั้นในขณะลองหูฟังหากเลือกรุ่นที่ชอบได้แล้ว พยายามเอารุ่นเดียวกันออกมาเลือกใส่ดูมากเท่าที่สามารถขอได้จากของที่ทางร้านมีอยู่ เพื่อตรวจดูว่าตัวไหนสรวมแล้วกระชับดีที่สุด ไม่หลุดง่าย และไม่เจ็บหู ขอแนะนำว่าลองนานๆหน่อยประมาณ20-40นาที เช่น ลองฟังเพลงและนั่งอ่านหนังสือไปก็ได้ พยายามใช้เวลากับมันมากๆหน่อย เพราะเมื่อซื้อแล้วมันต้องอยู่กับเราไปอีกยาวนาน
เสียงดังฟังชัด
การลองลักษณะนี้เสมือนการจำลองเวทีมาอยู่ที่ร้าน ด้วยการสรวมหูฟังที่เลือกแล้ว ชอบแล้ว ดีแล้ว สำหรับขั้นตอนต่อไปก็คือ ลองเปิดเพลงผ่านระบบ PA ในร้านให้ดังพอสมควร(ถ้าทำได้)จำลองความดังบนเวทีที่เราคุ้นเคยกัน แล้วลองร้องผ่านไมค์แล้วให้ทางร้านผ่านเสียงไมค์มาออกที่ระบบ IME ของเราที่กำลังเลือกซื้อ ลองร้องดูหรือจะพูดก็ได้แล้วให้ลองเร่งเสียงดังเบาสลับไปมา
การทำแบบนี้สามารถตรวจสอบความคมชัดเจนของเสียงที่ได้ยินในหูฟังเป็นอันดับแรกสุด ว่าในสภาพแวดล้อมเสียงดังๆ ระบบ IME สามารถให้ความชัดเจนเสียงได้ดีอยู่หรือไม่ ในขณะเดียวกันควรลองในหลากหลายระดับความดังเพื่อตรวจสอบดูว่า เสียงที่ได้ยินแตกง่ายหรือไม่ และเมื่อเสียงแตกแล้วมีอาการเช่นไร และความทนทานต่อระดับเสียงของ transducers ที่ทำหน้าที่ลำโพงในหูฟังมีระดับความทนทานดีมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่เร่งดังเล็กน้อยเสียงก็แตกแล้ว แบบนี้ก็ต้องตรวจสอบดีๆด้วย เพราะระบบ IME ที่ดีจริงๆจะต้องให้ความทนทานต่อเสียงแตกพร่าได้ดีในระดับหนึ่ง
สำหรับการตรวจสอบเรื่องเสียงแตกขอให้พึงระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในส่วนของการรับฟังในขณะทดสอบความดังเสียงต่างระดับอยู่นั้น ต้องระมัดระวังอย่างสูงเพราะมีอันตรายต่อแก้วหูเป็นอย่างมาก อย่าเผลอเลอ และอีกเรื่องหนึ่งที่ควรระวังในขณะตรวจสอบเรื่องการแตกของเสียงก็คือ ต้องแน่ใจว่าระบบไม่แตกมาก่อน เพราะจะทำให้เข้าใจผิดคิดว่าหูฟังเสียงแตกง่าย ทำให้การทดสอบได้เกิดข้อผิดพลาดไปโดยไม่เข้าใจ
ระบบสายและไร้สาย
ส่วนมากแล้วระบบ IME ที่นิยมจะเป็นแบบระบบไร้สายเป็นหลักเพราะให้ความคล่องตัวสูงสุด ไม่มีสายสัญญาณเกะกะในขณะใช้งาน ดังนั้นระบบสายจึงนิยมใช้งานในสตูดิโอเป็นส่วนใหญ่ ระบบไร้สายนิยมใช้กับงานระบบเสียงกลางแจ้งเป็นหลัก เทคนิคการเลือกซื้อแนะนำในส่วนของระบบไร้สายเป็นสำคัญเพราะมีรายละเอียดมากกว่า
ลักษณะสัญญาณที่เลือกหากเน้นการระดับอาชีพแนะนำให้เลือกใช้ระบบไร้สายแบบ UHF เป็นหลัก ส่วนระบบคลื่น VHF เหมาะสำหรับงานที่รองลงมา เช่น คาราโอเกะ สำหรับงานอาชีพระบบคลื่น UHF ถือว่าเป็นระบบที่วางใจได้ดีที่สุดในยุคนี้ตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอาการคลื่นหลุดได้ เพียงแต่ว่าการเหนี่ยวนำคลื่นรวมถึงจำนวนช่องสัญญาณมีให้เลือกเล่นได้มากกว่านั่นเอง
เทคนิคการทดสอบความไว
การเลือกระบบ IME wireless นั้นสิ่งแรกก็คือเลือกระบบแบบ UHF หลังจากนั้นให้ลองต่อใช้งานระบบโดยลองความไวในการรับสัญญาณด้วยการดูที่ signal meter ที่ตัวรับ(receiver) ว่าให้การรับสัญญาณที่เต็มดีหรือไม่ ด้วยการให้พนักงานในร้านลองเดินห่างออกไปจากเครื่องรับ โดยเดินหลบไปตามซอกมุมหรือไปอีกห้องหนึ่งเพื่อดูความไวในการรับนั่นเอง
การรับที่ดีหมายถึงความสบายใจและไว้วางใจได้ในขณะใช้งาน โอกาสคลื่นหลุดก็น้อยลงนั่นเอง หลังจากดูสัญญาณแล้วให้ลองเปิดอีกเครื่องหนึ่งขึ้นมาด้วยการจูนคลื่นไม่ให้ทับความถี่กันแต่จูนให้ความถี่ใกล้เคียงกันเท่านั้น การเปิดและลองใช้งานอีกเครื่องหนึ่งในขณะที่เครื่องที่ลองอยู่ก็ไม่ต้องปิดแต่อย่างไรเปิดทิ้งคาเอาไว้เลย
การลองลักษณะนี้ก็เพื่อทดสอบการเบียดกันของคลื่นว่ามีผลเป็นอย่างไร มีการแกว่งของสัญญาณมากน้อยเพียงไร เพื่อทดสอบว่าเครื่องที่เราเลือกอยู่นั้นมีความไวในการเกาะสัญญาณคลื่นของตัวเองดีมากน้อยเพียงไร
แบตเตอรี่ก็สำคัญ
หากมีเวลามากพอควรลองเรื่องของการกินไฟจากแบตเตอรี่ด้วย ด้วยการใช้เวลาที่นั่งฟังหูฟังนั่นล่ะ การลองแบตเตอรี่ขอแนะนำให้ใช้แบตเตอรี่ใหม่ๆเพื่อการลองเพียงถึงจะรู้เรื่อง พยายามใช้เวลาในการลองให้ได้ถึง30นาทียิ่งดีแล้วตรวจดูว่ากำลังของแบตเตอรี่ลดลงมากน้อยเพียงไร หากพบว่าลดลงน้อยก็ถือเป็นจุดดีของรุ่นนี้ได้เลย แต่ถ้าลดลงเร็วมากไปก็ต้องคำนึงว่าชอบเสียงหรือปล่าวถ้าชอบเสียง ยอมรับกับการเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆได้หรือไม่ เพราะแบตเตอรี่ที่หมดเร็วก็มีผลต่อการโชว์เป็นอย่างมากด้วย และสิ้นเปลืองค่าแบตเตอรี่อีกด้วย
ทางที่ดีหากเลือกขนาดของแบตเตอรี่แบบ AA ได้ก็จะยิ่งช่วยประหยัดค่าแบตเตอรี่ไปได้มากกว่าการใช้แบตเตอรี่แบบ9voltซึ่งมีราคาแพงกว่าหลายเท่าตัว
การตอบสนองต่อย่านความถี่
ต้องเข้าใจในพื้นฐานของตัวแปลงเสียงเล็กๆที่เรียกว่า transducers ที่ทำหน้าที่เสมือนลำโพงเล็กๆนั่นเอง จากขนาดพื้นที่ๆเล็กจะมีผลต่อย่านความถี่ต่ำๆโดยตรง ซึ่งจะมีน้อยลงโดยเฉพาะย่านความถี่ประมาณ 100Hz ลงไปจะมีน้อยมาก และก็อย่าพยายามเร่งย่านความถี่ที่ต่ำกว่านี้ในระบบ IME เพราะตัวมันไม่สามารถตอบสนองได้ดีอยู่แล้ว การเร่งที่มากขึ้นเป็นผลร้ายที่จะทำให้ตัว transducers ทำงานหนักมีผลต่อความพร่าเพี๊ยนรวมถึงโฟกัสเสียงที่ไม่ชัดตามมา หากผู้ใช้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมโฟกัสเสียงถึงไม่คมชัดหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งๆที่เสียงก็ไม่แตก
เมื่อย่านความถี่ต่ำกว่า 100Hz มีไม่มากก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างไร เพราะระบบเสียงในงานระบบเสียงกลางแจ้ง มีทั้งเสียงที่ดังมาจากลำโพง subwoofer มากมายอยู่แล้ว เสียงเหล่านั้นก็กระจายตัวโอบรอบตัวผู้ใช้งานอยู่แล้ว ทำให้ช่วยเสริมย่านความถี่ที่ขาดหายไปในระบบหูฟัง ทำให้ผู้ใช้งานไม่รู้สึกว่าขาดเสียงเบสลึกแต่อย่างไรเลย
การรับประกัน
อันนี้สำคัญอย่างมาก การรับประกันเงื่อนไขที่เป็นธรรมและรับผิดชอบที่ดี จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจในการซื้อสินค้าตัวนั้นเป็นอย่างยิ่ง การรับประกันที่ดีทำให้เราสามารถใช้งานสินค้าชิ้นนั้นได้อย่างสบายใจและมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า สินค้าตัวนั้นต้องเป็นสินค้าคุณภาพที่ดีตัวหนึ่ง
ข้อดีของระบบ IME
ข้อดีอย่างหนึ่งในการใช้ระบบ IME ก็คือตัวนักร้องเองโดยตรง ที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้อย่างยิ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ให้ลองนึกภาพดูว่าในขณะใช้ระบบมอนิเตอร์แบบพื้นฐาน wedge-shaped floor monitor อยู่นั้น มือกลองตีเสียงดังมากทำให้มือเบสได้ยินเสียงตัวเองไม่ชัด ก็เร่งเสียงหน้าตู้เบสให้ดังขึ้น ทำให้มือกีต้าร์ได้ยินเสียงตัวเองไม่ชัดตามไปด้วย จึงต้องเร่งเสียงดังขึ้นตามมาอีกคน ผลสุดท้ายนักร้องจะเป็นผู้ที่ตกที่นั่งลำบากมากที่สุดเพราะไม่สามารถเร่งเสียงตัวเองได้ หากขอไปที่มอนิเตอร์เอ็นจิเนียร์ก็ยังดังไม่พอหรือดังมากแล้วเสียงก็หอนอีก ผลสุดท้ายก็คือต้องช่วยตัวเองด้วยการตะเบงเสียงร้องให้ดังมากขึ้นเพื่อให้ได้ยินเสียงตัวเองชัดเจน เพราะลืมตัวไปว่ากำลังร้องแข่งกับเสียงที่ผ่านระบบเครื่องขยายเสียงอยู่
ผลสุดท้ายก็คือหลังจากจบงานคอก็จะเริ่มเจ็บ และ หากเป็นแบบนี้ซักอีกงานสองงาน ก็ไม่สามารถร้องได้ดีเสียงก็ไม่สดเพราะเจ็บเส้นเสียง นักร้องหลายๆคนที่อ่านบทความถึงตอนนี้แล้วอาจถึงบางอ้อว่าทำไมตัวเองมีปัญหาเจ็บคอบ่อยๆ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานที่พบเจอกันกับวงดังๆทั่วโลก อย่าง U2 , OASIS ,Phil Collins , Gloria Estefan, Kathy Mattea และอีกมากมายหลายวง ล้วนแต่ผ่านการเจ็บคอจากสาเหตุแบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น
ปรับตัวในการใช้งาน
การใช้งาน IME เป็นครั้งแรกต้องอาศัยการปรับตัวเสียก่อน เพราะว่าความรู้สึกที่ได้ยินจะต่างออกไปจากการฟังเสียงจากลำโพงมอนิเตอร์ที่คุ้นเคยกัน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาคุ้นเคยซักพักใหญ่ๆ ใจเย็นๆกับมัน เพราะการฟังเสียงโดยการฟังจากหูฟังโดยตรงจะให้ธรรมชาติเสียงที่แปลกออกไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความคมชัดเจนอย่างสูงของเสียง และเมื่อสรวมและใช้งานซักพักจนชินแล้วก็จะพบว่าสะดวกและสนุกกับการใช้งานกับมันเป็นอย่างยิ่ง
ข้อควรระวัง
การใช้ระบบ IME ให้ได้ผลดีที่สุดก็ยังต้องควบคุมค่าความดังบนเวทีในจุดอื่นๆอย่างเหมาะสมอยู่ดี ไม่ใช่พอใช้งานระบบ IME แล้วเสียงบนเวทีก็ยังคงดังสนั่นอยู่ดี แบบนี้ก็ต้องเพิ่มเกนความดังให้กับระบบ IME ของผู้ใช้งาน ผลก็คือ เสียงหอนก็สามารถเกิดขึ้นได้แต่ก็ดังอยู่ในหูฟังนั่นเอง รวมถึงเสียงแตกที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งหากผู้ที่ใช้งานระบบนี้อยู่แล้วเกิดปัญหาในลักษณะนี้ พยายามตรวจเช็คค่าความดังของแต่ละคนบนเวทีว่าดังเกินพิกัดหรือยังในความเป็นจริงแล้วบนเวทีหากเป็นดนตรีแบบpopทั่วๆไป ค่าความดังควรอยู่ประมาณ80-100dB หากวัดได้ที่ประมาณ 100-120dB โอกาสเกิดเสียงหอน รวมถึงการฟังแบบไม่รู้เรื่องบนเวทีที่เรียกว่า เสียงแซดไปหมด ก็จะเป็นปัญหาสูงมาก พยายามควบคุมค่าความดังเอาไว้ด้วยการพูดคุยกับนักดนตรีจะดีที่สุด เพราะทุกๆคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่นักดนตรีคิดอย่างเดียวว่าผมมีหน้าที่เล่นแบบที่ผมต้องการ ต้องดังขนาดนี้เท่านั้น ความคิดในลักษะนี้ทำให้การทำระบบเสียงเป็นเรื่องยากมากขึ้น แทนที่จะได้คุณภาพเสียงที่ดีทั้งระบบทั้งนักดนตรีเอง คนทำเสียง คนฟัง กลับเป็นการก่อปัญหาและวางระเบิดเวลาฆ่าตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะธรรมชาติของเสียงไม่สามารถฝืนมันได้แต่สามารถแก้ปัญหาได้ หากร่วมใจกันทำงานและยอมรับในสิ่งที่ต้องทำ
การปรับแต่งและมิกซ์เสียงให้ IME
การปรับแต่งเสียงเพื่อป้อนเข้าสู่ระบบ IME ก็ถือเป็นศิลปะการทำงานอีกแบบหนึ่งเพราะต้องควบคุมระดับความดังของเสียงอย่างเคร่งครัด เนื่องจากต้องป้องกันการเกิดเสียงแตกพร่าเพี๊ยนที่เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะหูฟังมีตัวเปลี่ยนเสียงที่ทำหน้าที่เสมือนลำโพงขนาดเล็ก ดังนั้นโอกาสเสียงแตกก็เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าลำโพงมอนิเตอร์แบบพื้นฐานทั่วๆไป ต้องระมัดระวังอย่างมาก
ในส่วนคุณภาพเสียงนั้นเป็นเรื่องสำคัญต่อระบบการฟังของผู้ใช้งาน พยายามปรับแต่งสัญญาณที่เข้ามาให้อยู่ในระดับความดังที่ไม่ก่อให้เกิดอาการ oveload อย่างเคร่งครัด ความพยายามตรงนี้ส่งผลต่อความคมชัดเจนของเสียงทั้งระบบใน IME ทำให้ได้ยินรายละเอียดชัดเจน ส่วนใหญาหากเกิดเสียงแตกพร่าเพี๊ยนจะทำให้ผู้ใช้งานระบบ IME ไม่ได้ยินเสียงต่างๆชัดเจนเลยและจะจบลงด้วยการถอดหูออกไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำงานที่เกิดความผิดพลาดอย่างน่าเสียดาย
ส่วนใหญ่แล้วการทำระบบเสียงให้ได้เสียงที่ดีและชัดเจนในระบบ IME เป็นเรื่องไม่ยากเลย อย่างที่กล่าวย้ำมาก็คือ ในเรื่องของการระมัดระวังเสียงแตกเป็นอันดับแรก การควบคุมค่าความดังที่ส่งให้กับนักดนตรีหรือผู้ที่ใช้งานอยู่ ต้องทดสอบเบื้องต้นด้วยว่าที่ค่าเท่าใดถึงจะเหมาะสมที่สุดกับสภาพแวดล้อมเสียงบนเวที ทางที่ดีในขณะซ้อมจะเป็นช่วงเวลาที่สามารถทดสอบและตั้งค่าได้
ความสำคัญในการกำหนดค่าความดังที่ส่งให้กับผู้ใช้งานต้องเคร่งครัดว่าอยู่ประมาณที่เท่าไหร่ เพราะในขณะใช้งานจริง ผู้ใช้งานไม่ได้ยินเสียงที่ชัดเจนอาจมาจากที่วงเล่นดังกว่าตอนซ้อม หากเราเร่งเกินกว่าค่าที่เรากำหนดเอาไว้ในขณะซ้อมผลก็คือเสียงแตกพร่าตามมาอยู่ดี ดังนั้นยังไงก็ไม่สามารถเพิ่มค่าความดังได้อยู่ดี แต่เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักหากทุกๆคนเข้าใจเรื่องของความดังเสียงบนเวที (นักดนตรีบ้านเราหลายๆคนยังขาดวินัยและไม่เข้าใจเรื่องตรงนี้อีกมาก)
ดังนั้นการแก้ปัญหาเรื่องนี้สามารถแก้ได้ด้วยการใช้อีคิวเข้ามาช่วยในการส่งเข้าสู่ระบบ IME อีกทอดหนึ่งเพื่อช่วยเสริมย่านความถี่ที่ขาดหายไปในขณะรับฟังและตัดย่านความถี่ที่ไม่ต้องการออกไปในขณะใช้งาน แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องระวังเรื่องของอาการ oveload อยู่เสมอ
เทคนิคการมิกซ์
การมิกซ์ระบบเสียงในหูฟังนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างไร สำหรับมอนิเตอร์เอ็นจิเนียร์แล้วสามารถทดสอบระเสียง IME ด้วยตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องรอวงดนตรีมาทดสอบแต่อย่างไร ด้วยการทดสอบปล่อยสัญญาณต่างๆเข้ามาตามที่นักดนตรีต้องใช้งานจริงๆและให้ปรับมิกซ์เสียงไปได้เลย เนื่องจากระบบการฟังแบบ IME เป็นการทำงานเหมือนระบบมอนิเตอร์ในสตูดิโอที่สามารถปรับระดับเสียงรอไว้ก่อนได้เลย
การตรวจสอบและมิกซ์เสียงเบื้องต้นแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ควรทำไม่ต่างจากการเตรียมตัวเช็คระบบเสียงกับมอนิเตอร์พื้นฐานทั่วๆไปแต่อย่างไร แนวทางการมิกซ์เสียงนั้นก็มีหลากหลายแนวทาง ส่วนมากขึ้นอยู่กับแนวเพลงของวงดนตรีที่เล่นเป็นตัวกำหนดหลัก การเตรียมตัวตั้งมิกซ์ไว้ก่อนเบื้องต้นช่วยให้การทำงานจริงเมื่อวงมาเร็วขึ้น เพราะมอนิเตอร์เอ็นจิเนียร์ทำหน้าที่เพิ่มหรือลด หรือปรับอีคิวให้เข้ากับรสชาติการฟังของตัวนักดนตรีเท่านั้น งานก็จะจบเร็วขึ้นและปัญหาน้อยลงมากกว่าการมาปรับในขณะวงขึ้นเล่นเลย แบบนี้ยังไงก็ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
การปรับbalancingของเสียงเครื่องดนตรีสำหรับระบบ IME ค่อนข้างจะยุ่งกว่าระบบมอนิเตอร์พื้นฐาน ตรงที่ต้องคอยปรับเปลี่ยนน้ำหนักเสียงของเครื่องดนตรีตามเพลงอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุที่เป็นเข่นนี้ก็เพราะว่าเสียงที่ได้ยินในระบบหูฟังมีความชัดเจน รายละเอียดสูง ดังนั้นหากเสียงเครื่องดนตรีชิ้นใดดังมากเกินไปในบางเพลงก็ต้องลดลงมาเพื่อให้เกิดความสมดุลเสียงของการฟังของผู้ใช้งาน
สเตอริโอ หรือ โมโน
สำหรับระบบ IME ควรทำงานในระบบสเตอริโอจะดีที่สุด ซึ่งก็หมายความว่าผู้ใช้งานระบบ IME ก็ต้องสรวมหูฟังทั้งสองข้างด้วยถึงจะถูกต้องที่สุด การส่งในระบบสเตอริโอจะช่วยให้ได้ระดับเสียงความดังที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องเร่งความดังมากเท่ากับแบบโมโน ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ การแพนเสียงเครื่องดนตรีไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อเน้นเสียงดังเบาและมิติเสียงในขณะเดียวกันอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงมิติเสียงแบบสเตอริโอบนเวทีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามารถสร้างอารมณ์ในขณะร้องเพลงได้ดีขึ้นอีกด้วย ในขณะส่งสัญญาณเป็นแบบสเตอริโอเรายังสามารถผสมเสียงรีเวิร์บตามไปด้วย ยิ่งจะให้ความรู้สึกในขณะร้องมีมิติที่น่าสนใจร้องสนุกมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็เปรียบเสมือนการฟังเพลงจากแผ่นซีดีนั่นเอง
แบบโมโนก็สามารถใช้งานได้ด้วยเช่นกัน กรณีนี้เหมาะสำหรับการใช้งานหูฟังเพียงข้างเดียวเท่านั้น การส่งในระบบโมโนดูจะเหมาะสมมากกว่าระบบสเตอริโอ เมื่อการฟังด้วยหูเพียงข้างเดียวการทำระบบโมโนก็เพียงแค่แพนเสียงทุกอย่างไว้ตรงกลางเท่านั้น
การป้องกันระบบการฟัง
ระบบ IME ถือเป็นระบบที่ดีของมอนิเตอร์ยุคใหม่ผู้ที่ใช้งานจะเข้าใจดีว่าพวกเขาสามารถได้ในสิ่งที่ต้องการมากน้อยเพียงไร แต่สิ่งที่ดีก็มีสิ่งที่อันตรายแฝงอยู่ด้วยนั่นก็คือ ระบบหูฟังนี้อยู่ใกล้กับแก้วหูของผู้ใช้งาน ดังนั้นโอกาสที่จะทำให้แก้วหูเสียก็มีมากหากใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังและรู้เท่าถึงการณ์จริงๆ
การใช้งานระบบ IME ที่ถูกต้องจำเป็นต้องต่อพ่วง LIMITER ไว้เสมอ ซึ่งการต่อพ่วงนี้ limiter ทำหน้าที่เสมือนกำแพงกันเสียงที่ดังเกินกว่าค่าที่กำหนดเอาไว้ไม่ให้ทะลุผ่านออกไปได้ ตรงนี้ช่วยป้องกันการเกิดเสียงดังแบบทันทีทันใดที่ส่งผลต่อแก้วหูชาได้ limiter จึงมีความสำคัญต่อระบบป้องกันเป็นอย่างยิ่งและในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้มอนิเตอร์เอ็นจิเนียร์สามารถควบคุมค่าความดังสูงสุดของระบบได้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ผู้ใช้งานหูไม่เสียและระบบก็ไม่เกิดเสียงแตกตามมาอีกด้วย
Limiter จึงเป็นเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่ต้องใช้งานควบคู่ไปกับระบบ IME อยู่ตลอดเวลา
ขอบคุณอาจารย์โยธิน ฤทธิพงศ์ชูสิทธิ์ เป็นอย่างสูงที่เอื้อเฟื้อข้อมูล ขอบคุณแหล่งภาพทุกแหล่ง ขอบคุณเพื่อนๆ พี่น้องทุกคนที่ให้คำปรึกษา