ศึกษาความต้องการในการใช้งานของเราเองว่า ในการใช้งานจริงจำนวน inputs หรือสัญญาณที่จะมาต่อเข้ามิกซ์อยู่ที่จำนวนเท่าไหร่ เช่น ไมโครโฟนกี่ตัว สัญญาณที่เป็น line อย่างเช่นเครื่องเล่นซีดีกี่เครื่อง เครื่องเล่นจากคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นจากDVD เหล่านี้ก็ต้องนับรวมเอาไว้ด้วย
หลังจากนี้ก็ให้ดูจำนวน group ควรเริ่มต้นที่ 4 group และหากได้ที่ 8 group ก็จะดีมาก เพราะการมีgroupที่มีช่วยให้การนำสัญญาณออกจากมิกเซอร์มีช่องทางเพิ่มขึ้นเพื่อนำเอาไปใช้ประโยชน์สำหรับการต่อสัญญาณออกไปป้อนเข้าแหล่งรับสัญญาณอื่นๆ เช่น กลุ่มภาพที่ต้องการสัญญาณเสียง หรือเครื่องบันทึกเสียงเป็นต้น แต่สำหรับมิกเซอร์ที่รุ่นใหญ่ๆจะมีช่องต่อสัญญาณเรียกว่า matrix ฟังชั่นนี้ก็นิยมใช้ส่งสัญญาณออกจากมิกเซอร์อีกทางหนึ่งด้วย
Auxก็เป็นอีกฟังชั่นหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก ในกรณีที่เอาไปใช้งานสำหรับงานบูธเป็นหลัก การเลือกซื้อมิกซ์ที่มี AUX ไม่มากเช่น 2-4 AUX ถือว่าใช้ได้เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นงานที่มีวงดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง AUX ควรมีอย่างน้อย6-8 AUX และยิ่งมากก็ยิ่งซึ่งก็หมายถึงราคาที่ต้องเพิ่มตามไปด้วย เพราะจำนวน AUX ที่มากช่วยให้การทำระบบมอนิเตอร์ทำได้สะดวก เช่น จำนวน AUX ที่มากก็หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะโซนของเสียงที่จะส่งให้นักดนตรีบนเวทีได้ละเอียดขึ้นนั่นเอง
สำหรับมิกเซอร์ที่มีเอฟเฟคในเครื่องถือว่าช่วยให้ผู้ลงทุนประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้มาก มิกเซอร์ลักษณะนี้ช่วยให้ผู้ทำระบบเสียงลดอุปกรณ์ต่อพ่วงลงไป ลักษณะงานก็สามารถใช้งานได้ดีไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าความสามารถในการปรับแต่งเอฟเฟคมีอยู่น้อย แต่เท่าที่เห็นก็พอเพียงต่อการใช้งานแล้ว
จากแนวทางหลักๆข้างต้นการเลือกซื้อทั้งหมดคงต้องดูงบประมาณในการเป๋าเป็นหลักเสียก่อน ดูจุดประสงค์ในการนำเอาไปใช้งาน สำหรับงบประมาณที่มีมากตัวเลือกก็จะมีให้เล่นมากขึ้น สำหรับงบประมาณขนาดเล็กถึงกลางก็จะมีฟังชันให้เล่นน้อยลงไปด้วย นั่นก็หมายความว่า การใช้งานก็จะมีข้อจำกัดตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนะนำว่า หากคำนวณจำนวนสัญญาณที่เข้ามาได้ที่เท่าไหร่ก็ให้ทำการเผื่อไว้อีกเล็กน้อย(ถ้าทำได้และมีงบมากพอ)