การแยกอิสระ 16 ช่อง ออกจาก Sound Module / Sound Card มีประโยชน์คือ
1- ได้ฝึกฝนการมิกซ์ดาวน์ จาก 16 เสียง โมโน ผสมลงมาเป็น 2 ช่อง สเตอริโอ(มีการ PANตำแหน่งอย่างถูกต้อง) ซึ่งจะมีประโยชน์กรณีไปมิกซ์ดาวน์วงเล่นสด 3 ชิ้นขึ้นไป หากไปเจอกับ วง 6 ชิ้น ที่จับเสียงอิสระทุกชิ้น ก็จะมีกลองเป็นชิ้นแรกที่ใช้ไมค์จับทุกใบ ประกอบด้วย เบสดรัม-สแนร์-ทอม1-ทอม2-ฟลอทอม-ไฮแฮท-แคลสขวา-แคลสซ้าย รวม 8 ไลน์ไมค์โมโนละ ต่อด้วยเครื่องสายอีก3ชิ้น ก็จะใช้ไมค์จับตู้แอมป์หรือไลน์บาลานซ์ กีต้าร์ซ้าย-กีต้าร์ขวา-เบส รวม 3 ไลน์โมโน จากนั้นก็ซินธีไซเซอร์คีย์บอร์ด อีก 1ไลน์ โดยใช้ไมค์จับตู้แอมป์ รวมทั้งหมด 5 ชิ้น 12 ไลน์ ยังเหลือชิ้นสุดท้ายของวง คือร้องนำ อีก 1 ไลน์ไมค์ รวมเป็น 6 ชิ้น 13 ไลน์ แล้วก็ยังมีไมค์สำหรับร้องคอรัสอีก 1-4 ตัว ก็รวมแล้วก็ 14-17 ช่องโมโนที่ต้องใช้มิกซ์เซอร์ที่มีจำนวนช่อง XLR มากกว่า 16 อินพุทมารองรับกับจำนวนไมค์ที่มากขนาดนี้
2- เพราะระดับเสียงจาก MIDI ทำมาแบบไม่ได้มาตรฐานเดียวกันทุกเพลง จึงต้องเพิ่มลดสดๆ ขณะแสดงได้ในบางชิ้นที่ ดังไป หรือ เบาไป เพื่อให้ระดับแต่ละชิ้นออกมาสมดุลย์ เช่นเดียวกับเพลงต้นฉบับจาก CD การแยกไลน์อิสระ ทำให้ปรับแต่งได้อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยากซับซ้อน
*แต่สิ่งที่ MIDI แยก 16 ไลน์ ไม่เหมือนวงเล่นสดคือ MIDI จะได้ยินเฉพาะเสียงจากลำโพงเท่านั้น ไม่มีเสียงตรงจากเครื่องดนตรี และไม่มีเสียงจากตู้แอมป์กีต้าร์ กับเบส พุ่งลงมาจากเวทีมาหลอก จนต้องใช้หูฟังที่กันเสียงรบกวนจากภายนอกดีๆ ให้ได้ยินแค่เสียงจากมิกซ์เท่านั้น จึงจะช่วยได้ จากที่เคยมิกซ์เล่นสดมา ก็เคยโดนเสียงจากตู้แอมป์หลอกมาบ้าง ทำให้เสียงที่ออก PA เสียงเบาบางไปในบางชิ้น(รู้ทีหลังจากเสียงที่อัดมาฟัง) ทั้งๆที่ใช้สายมัลติคอร์ 50เมตรต่อมามิกซ์หน้า(มิกซ์ที่เคยใช้ R.A.M. PICO 16:2 / Live4 24 ประดิษฐ ไม่ใช้หูฟัง).... การมิกซ์ MIDI 16 ไลน์ จึงต่างจากการมิกซ์เล่นสดอยู่บ้างพอสมควร แต่ก็จะเป็นพื้นฐานที่ดีครับ ทำให้ตื่นตัวอยู่ตลอดโชว์ และดูโปรขึ้น ... สู้สู้