เป็นผลจากการจองเวรขององคุลีมาล กับ 999 บุคคลที่กระทําต่อกันในอดีตชาติ กรรมกับ 999 คนจึงได้สําเร็จลงได้ หลังจากมีการฆ่าคนมากมายเเล้ว พระพุทธเจ้าทรงทราบรู้ว่าองคุลีมาลเริ่มมีความฟั่นเฟือนปรากฏขึ้นมาเเล้ว สมองของบุคคลที่ได้ทําการเบียดเบียนสัตว์ โดยมากจะทําให้มีความรู้สึกนึกคิดช้าลง เพราะเหตุเเห่งกรรมนั้นมาทําลายรบกวนทางสมองก่อน ก่อนจะสร้างภพที่เป็นนรกให้ต่อไป ด้วยพิพย์จักษุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทราบทราบว่า ด้วยเหตุที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ตั้งกองกําลังเพื่อจับองค์คุลีมาลมาลงโทษ ทําให้ข่าวนั้นเเพร่ไปถึงมารดาขององคุลีมาล ด้วยความเป็นเเม่ เเม้ว่าลูกจะทําไม่ดีสักเพียงใด นางก็คิดห่วงลูกตัวเองโดยตลอด ดังนั้นนางจึงได้ตัดสินใจจะมาบอกข่าวเพื่อให้ลูกตัวเองได้หลบหนี โดยหารู้ไม่ว่าองคุลีมาลอาจจะจําตนเองไม่ได้ว่าเป็นเเม่ ความนี้พระพุทธเจ้าทรงทราบโดยตลอด พระองค์จึงตั้งจิตคิดขัดขัดขวาง เพราะถ้าปล่อยให้องคุลีมาลฆ่ามารดาโดยสําเร็จเเล้วนั้น จะเป็นกรรมที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ หรืออนันตริยกรรม ปัญหาใหญ่ที่จะปราบองคุลีมาลให้ได้นั้น คือต้องทําให้องคุลีมาลนั้นต้องมีสติกลับคืน ซึ่งทําได้ยากหรือทําไม่ได้ในบุคคลทั่วไป เพราะองคุลีมาลนั้นนอกจากจะหลงลืมสติเเล้วนั้น ยังมีใจผูกด้วยมิจฉาทิฐฐิ เห็นการฆ่าเป็นของดี อันเป็นรังเเห่งนรก การที่จะทําให้องคุลีมาลมีสติกลับคืนนั้น จะต้องทําให้ให้เกิดคําถามขึ้นในใจของเขาเอง จิตขององคุลีมาลจะต้องมีความเปรียบต่างในทางทั้งสองได้ด้วยตนเอง นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของจังหวะที่เข้ากระทําการ ด้วยเหตุเเห่งฤทธิ์อํานาจขององค์สฃพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย การเข้ากระทําการในครั้งเเรกนั้น ก็คือในระหว่างที่องคุลีมาลได้เห็นมารดาของตัวเองเเล้วจําไม่ได้ เเล้วพุ่งเป้าหมายไปที่มารดาก่อน ในระหว่างที่เเตรียมเข้าจู่โจมใส่มารดาของตนเองนั้น เป็นจังหวะเดียวที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องเเทรกเ้ข้าไปเพื่อให้องค์คุลีมาลเปลี่ยนเป้าหมาย พระองค์ต้องปล่อยให้องคุลีมาลผู้มีกําลังเเก่กล้าวิ่งไล่ตามโดยพระองค์เองนั้น ได้เนรมิตเส้นทางวิ่งให้องคุลีมาลเข้าถึงพระองค์โดยยาก เพราะในขณะเวลานั้นๆกําลังจากมารมีกําลังอยู่โดยมาก พระองค์ทรางทราบดีว่าจะเข้ากระทําการใดๆไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้วิ่งตามราวๆ 3 โยชน์ โดยที่พระองค์ไม่ได้หวั่นหรือกลัวในคบดาบนั้นเลย ด้วยเหตุเเห่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ได้ละจากสังขารเเล้ว ความกลัวจึงไม่บังเกิด จิตนั้นดํารงอยู่ในอุเบกขาโดยมาก พระองค์ทรงรอให้กําลังมารขององคุลีมาลนั้นอ่อนลงด้วยเหตุที่วิ่งในระยะไกลๆ เเละทรงรอให้องคุลีมาลพูดออกมาก่อน เเล้วในที่สุด องคุลีมาลก็เปรยออกมาก่อนจนได้ ขอให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหยุดหนี พระพุทธจึงตรัสตอบเป็น 2 นัยเพื่อให้องค์คุลีมาลระลึกได้ โดยพระองค์กล่าวว่า "เรานั้นหยุดเเล้วเเต่ท่านซิไม่หยุด" คําตรัสนี้สร้างคําถามเกิดขึ้นในใจด้วยความฉงนใจเป็นยิ่งนัก องคุลีมาลสงสัยมาก เนื่องจากมีการเปรียบต่างระหว่างหยุดกับไม่หยุดนั้นมันเเตกต่างกันอย่างไร จิตนั้นมีการเปรียบเทียบก็หมายถึงว่าเริ่มรับรู้ด้วยการมีสติเกิดขึ้น ในระหว่างนี้เองพระองค์เห็นว่าเป็นจังหวะที่เกิดสมาธิปรากฏเเก่องคุลีมาลเเล้ว พระองค์จึงเเสดงความหมายของคําว่าหยุดให้องคุลีมาลได้ฟัง ซึ่งหยุดในใจขององคุลีมาลจริงนั้นหมายเอาคือหยุดวิ่ง เเต่หยุดที่พระองค์นั้นหมายถึงหยุดการเบียดเบียนสัตว์ เมื่อเกิดการเปรียบเทียบระหว่างคําตรัสกับความคิดตัวเอง จึงเกิดคําถามในใจขององคุลีมาลว่ามันไม่น่าจะใช่ ใจจึงเรียกร้องหาอันไหนถูกเเล้วอันไหนผิด ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย คือรู้จักตรวจสอบว่าอันไหนผิดหรือถูก องคุลีมาลจึงมีสติคืนในขณะนั้น