Tigger Sound
สังคมออนไลน์คุณภาพของคนรักเครื่องเสียง
ทดสอบเสียง HK1.1 By Tiggersound https://www.facebook.com/tiggersound/videos/10218510874389162

การเร่งเพาเวอร์แอมป์ ,gain ,Sensitivity

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ max_medkku

  • มือกีตาร์
  • ****
    • กระทู้: 151

..เปรียบง่ายๆมันก็เหมือนปุ่ม Gain ในไลน์มิกเซอร์นั่นแหละ..ท่านจะลดมาสเตอร์วอลลุ่ม และวอลลุ่มในสไลด์ลง แล้วเร่งเพิ่มที่ปุ่ม Gain ในไลน์.
....หรือท่านจะลดปุ่ม Gain ในไลน์มิกเซอร์ลง แล้วเพิ่มวอลลุ่มสไลด้ในไลน์+มาสเตอร์วอลลุ่ม... ความดังก็จะได้ออกมาพอๆกัน.
..สำหรับงานเล็กๆ งาน Indoor ที่ระบบสามารถครอบคลุมพื้นที่งานได้หมด จะปรับวอลลุ่มพาวเวอรืหมด หรือไม่หมดก็ไม่มีปัญหา
.แต่ก็.ปฎิเสธไม่ได้ว่าเวลาลดปุ่มวอลลุ่มที่พาวเวอร์แอมป์ลงแล้ว ในขณะที่ไม่ได้ปรับปุ่มที่อุปกรณ์อื่นเพิ่ม แล้วทำให้เสียงที่ออกมาเบาลง...
...
...แต่ถ้าพูดถึงงานสนาม PA เต็มรูปแบบ.
.....ถ้าเป็นเครื่องเสียงระบบใหญ่ๆที่ใช้จำนวนพาววเวอร์แอมป์มากๆแท่น+ตู้จำนวนมากๆตู้ เพื่อช่วยทำให้ได้เสียงดังได้ตามต้องการ จะทำตามทฤษฎี หลักการที่ว่าก็ได้ เพราะกำลัง ความดังของเสียงมันสามารถครอบคลุมพื้นที่งานได้อยู่แล้ว
....แต่ระบบเครื่องเสียงรากหญ้า  ขนาดกลาง-เล็ก โดยทั่วไปของคนไทยนั้น..มักจะไม่เหมือนระบบใหญ่ๆมาตรฐานทั่วไป..แต่ใช้แอมป์ขับจำนวนน้อยแท่น+ตู้จำนวนน้อยตู้...แต่ต้องการให้ได้เสียงที่ดัง แรง หนักแน่น กระหึ่ม ครอบคลุมพื้นที่งานได้มากที่สุด..ซึ่งประเด็นนี้ถ้าไปปรับลดวอลลุ่มพาวเวอร์แอมป์ลง แล้วไปปรับเพิ่ม Gain อื่นๆชดเชย โดยเฉพาะ Gain ในไลน์มิกเซอร์...ผลที่จะตามมาคือสัญญาณที่มาถึงพาวเวอร์แอมป์จะมีอาการพีค ล้น จนทำให้พาวเวอร์แอมป์เกิดการคลิปตามมาอย่างมโหฬาร..สุดท้ายดอกลำโพงจะเสียหาย ขาดไหม้กลางงาน ทำให้งานเสียหายได้ง่ายๆ
..

แสดงว่าคุณยังไม่ทราบหลักการ balance gain ของระบบที่ถูกต้องนะครับ จึงทำให้เกิดอาการ peak ของสัญญาณที่ amp
ยิ่งบิด volume amp จนสุด gain ที่ mixer ยังไม่ถึง 10 dBu ก็ทำให้  amp clip แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นจะรากหญ้าหรือรากแก้ว อุปกรณ์จำกัดหรือไม่จำกัด ก็มีหลักการเดียวกันครับ

ผมมีวิธี setup ระบบแบบง่ายๆมานำเสนอครับ เพื่อที่จะ balance gain ของระบบไม่ให้ clipหรือ peak และสามารถรีดเอาความสามารถและประสิทธิภาพของเครื่องเสียงของท่านให้แสดงออกมาได้สูงสุด ว่างๆก็ลองไปทำตามดูนะครับ



ผมจะทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ

1. ต่ออุปกรณ์ทุกชิ้น ให้เรียบร้อย ยกเว้น สายลำโพงที่ต่อจากก้นแอมป์
2. เปิดเครื่อง CD->mixer->EQ->cross over- >Power amplifier
3. เลื่อน slide master และ slide ch fader ของ CD  ไว้ที่ ระดับ U (unity)  EQ gain ที่ 0 dBu ส่วน power amp ยังไม่หมุน Volume ครับ
4. เปิด CD เลือกเพลงอะไรก็ได้ ที่มีเสียงดนตรีครบทุกย่านความถี่
5. หมุน Ch gain ของCD หมุนจน master VU meter clip แล้วค่อยๆลด gain ลงจนเกือบ clip
6. สังเกต LED meter ของ EQ (กด on ให้EQทำงาน) ถ้ายังไม่clip ให้เพิ่ม gain ของ EQ จน meter ของ EQ clip แล้วลดลงมาให้เกือบ clip เช่นเดียวกับ mixer
    - แต่ถ้า EQ clip ก่อนที่ VU meter ของ mixer จะclip ให้ปรับสัญญาณที่ mixer ให้ เกือบclip ก่อน แล้วจึงลด gain ของ EQ ลงจนเกือบ clip
7. สังเกตที่ input meter ของ cross over (ปรับจุดตัด crossover ให้เรียบร้อยก่อน) balance input gain ให้ได้เหมือนที่กล่าวมา ถ้าได้แล้วให้สังเกต ที่ output meter ของ crossover แต่ละ band
    จะสังเกตว่าสัญญาณจะไม่สูงจนclip เหมือน input เนื่องจากสัญญาณถูกแบ่งพลังงานตามจุดตัด cross over แต่ละ band
เราอาจจะเร่ง gain ที่ output ของแต่ละ band เพื่อชดเชยให้เกือบ clip หรือไม่เร่งก็ได้

8. หมุน Volume ของ amp ตามเข็มนาฬิกา จน สัญญาณ clip กระพริบ พอดี ทั้ง 2 ch จากนั้น ปรับลดลงจนเกือบ clip เช่นกัน จำตำแหน่งที่ volume amp ใ้ห้ดี
หรือ
ถ้า crossover ของเรา ที่ output แต่ละ band มี limiter ก็เปิด function นี้แล้วปรับ threshole ให้สัญญาณที่ amp ไม่ clip

9. จากนั้น ปิด CD ปิด Amp แล้วต่อสายลำโพงเข้ากับก้น amp แล้วเปิดใหม่ หมุน volume amp ไว้ที่ตำแหน่งเดิม(ที่สัญญาณเกือบ clip พอดี)

     ทำอย่างนี้กับ amp ทุกตัวในระบบ ไม่ว่าจะเป็น Low mid high หรือ monitor aux

10.  ทดสอบไมค์ หรือ เปิด เพลง slide fader ที่ 0 dBu แล้วหมุนเพิ่ม gain ทดสอบไมค์หรือ CD กด PFL แล้วให้สังเกตสัญญาณที่ meter จนกว่าจะได้ 0 dBu แล้วใช้สัญญาณระดับนี้เป็นจุดอ้างอิง ที่ฟังได้พอดีไม่ดังไม่เบาเกินไป ถ้าดังเกินไป แสดงว่า power amp ของเรามีกำลังเหลือเฟือ สำหรับ งานนั้นๆ ให้ balance output ของ cross over แต่ละ band จนได้ low mid high ที่สมดุลโดยการปรับลดลงในแต่ละ band
แต่ถ้าเบาไป ลองเร่งgain เพิ่มอีก จนmeter อ่านได้สัก 6 dBu ถ้าดังใช้ได้ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเร่งแล้วเสียงยังเบาแสดงว่า ระบบของเรายังมี power amp หรือลำโพง ไม่พอให้หามาเพิ่มอีก ไม่ต้องไปดันทุรังบิด volume amp เพิ่มเพราะถ้าเพิ่ม มากกว่านี้ clip แน่ๆ

* ถ้าจะให้ดี ใช้ pink noise เป็นตัว generate สัญญาณ แทนการเปิด CD เพราะ พลังงานจะเท่ากันทุกความถี่

ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่า amp ของเราจะ clip เพราะสัญญาณที่แรงจาก mixer เพราะถ้าที่mixer ไม่ clip amp เราก็ไม่มีทาง clip

ที่ผมปรับอย่างนี้เพราะผมยึดหลัก Gain structure ครับ ใช้วิธีนี้ set up gain เพื่อ ง่ายต่อการ ปรับ เครื่องมือทั้ง Board mixer และ outboard (Gate/ compressor/Effect/EQ/Cross over/Aux monitor และอื่นๆ) ซึ่งต้องได้ gain ที่เหมาะสม โดยเฉพาะ พวก compressor/Gate สัญญาณ input ต้องได้จาก mixer หากสัญญาณมาน้อย จะทำให้ dynamic range น้อยลงด้วย

ฝากรูปทิ้งท้ายให้ดูและพิจารณาครับเดี๋ยววันพรุ่งนี้จะอธิบาย เรื่อง gain structure ให้ทุกท่านได้เข้าใจครับ



สุดท้ายนี้ก็ขออาราธนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

อัษฎาวุธ สอนพรหม
086-8624610


ออฟไลน์ บ้านดนตรี

  • นักร้อง
  • ******
    • กระทู้: 1204
10.  ทดสอบไมค์ หรือ เปิด เพลง slide fader ที่ 0 dBu แล้วหมุนเพิ่ม gain ทดสอบไมค์หรือ CD กด PFL แล้วให้สังเกตว่า สัญญาณที่ meter จนกว่าจะได้ 0 dBu แล้วใช้สัญญาณระดับนี้เป็นจุดอ้างอิง ที่ฟังได้พอดีไม่ดังไม่เบาเกินไป ถ้าดังเกินไป แสดงว่า power amp ของเรามีกำลังเหลือเฟือ สำหรับ งานนั้นๆ ให้ balance output ของ cross over แต่ละ band จนได้ low mid high ที่สมดุลโดยการปรับลดลงในแต่ละ band
แต่ถ้าเบาไป ลองเร่งgain เพิ่มอีก จนmeter อ่านได้สัก 6 dBu ถ้าดังใช้ได้ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเร่งแล้วเสียงยังเบาแสดงว่า ระบบของเรายังมี power amp หรือลำโพง ไม่พอให้หามาเพิ่มอีก ไม่ต้องไปดันทุรังบิด volume amp เพิ่มเพราะถ้าเพิ่ม มากกว่านี้ clip แน่ๆ

..ข้อนี้แหละครับที่มันไปสอดคล้องกับที่ผมแสดงความคิดเห็นมาว่าระบบรากหญ้าทั่วไปมักจะเป็นระบบที่ไม่ใหญ่ ใช้จำนวนพาวเวอร์แอมป์+ตู้น้อย ( แถมบางครั้งใช้พาวเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับน้อย) แต่ต้องการความดัง ความแรงให้ได้ดังใจ..
นาย ชาญชัย ไชยรินทร์ (บ้านดนตรี ) เลขที่ 176 หมู่ 6 ตำบล อุโมงค์ อำเภอ เมือง จังหวัด ลำพูน 51150  TEL : 086-915-1075 ,082-4697006 ธ.ไทยพาณิชย์  566-2-07068-7  ID Line chchai2502


ออฟไลน์ ช่างแอ้ด™

  • Over feel ..Trust me
  • Moderator
  • นักร้อง
  • *****
    • กระทู้: 2230
  • as it should be ..
    • Fbook
รูปที่คุณหมอเอามาประกอบ แสดงได้ชัดเจนครับ   .. เอวัง 
  .. ทุกขัง อนัตตา เมื่อลำโพงกลับบ้านเก่า
   .. ก็ว่ากันไปครับ นานาจิตตัง


ออฟไลน์ คนพระจันทร์

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 493


ผมบอกแล้วไงว่าคุณหมอนั้นเก่งเรื่องเกนมากๆ  ในประเทศไทย

และเก่งล้ำหน้าในเรื่องดิจิตอลซึ่งกำลังจะกลายเป็นระบบเสียงในอนาคตด้วยครับ

อภินันท  แสนบุ่งค้อ
99/1 หมู่บ้านชัยพฤกษ์ ถ.บางนา-ตราด ( กม. 18 )  ต.บางโฉลง อ.บางพลี
จ.สมุทรปราการ  10540
โทร. 080 593 9556


ออฟไลน์ anurukburanon

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 560
  • <iframe src="http://www.facebook.com/plugins/likeb
    • www.facebook.com/maxmusicsuphan
มันก็แค่โวลุ่มขาเข้าเท่านั้นครับ  ไม่เกี่ยวข้องกับกำลังขับของเพาเวอร์แอมป์

ส่วนเรื่องที่ว่าเร่งแอมป์น้อย เลยต้องเร่งเกนเยอะ เลยทำให้ไมค์หอน  อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งครับ

.......

เร่งแอมป์หมด แต่เร่งมิกซ์น้อย ระวังเรื่องน๊อยซ์กันด้วยนะครับ

ยังมีเรื่องสัดส่วนระหว่างสัญญาณกับน๊อยซ์อีกครับ

ปล.ผิดพลาดประการใดช่วยแก้ด้วยครับ  ผมเด็กกำลังหัดเดิน  ศึกษาไว้ก่อน เผื่อวันหน้าจะมีบ้าง หลังจากเป็นคอยวอยมาหลายปี
อนุรักษ์ บุรานนท์<br /><br />175/1 หมู่ 1 ต.บางพลับ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี 72110<br />โทร. 096 - 0423835


ออฟไลน์ max_medkku

  • มือกีตาร์
  • ****
    • กระทู้: 151
อันนี้ เป็นทฤษฎี Gain structure ครับ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการใช้งาน sound reinforcement   ลองไปอ่านๆดู เพื่อมาปรับการใช้งานเครื่องมือเราได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

http://www.communitypro.com/files/literature/tech%20notes/GAIN_ADV_TECH.pdf
อันนี้ guide ของ mackie  http://www.mackie.com/pdf/CMRefGuide/Tips_Ch4.pdf
http://mikeriversaudio.files.wordpress.com/2010/10/gainstructure.pdf


แต่ก่อนผมมีปัญหาเรื่องการปรับ gain ซึ่งเคยปรับแบบที่ บางท่านส่วนใหญ่ปรับกัน คือปรับ volume amplifier ให้สุด เพื่อที่จะให้ ได้ gain น้อยๆ ไมค์จะได้ไม่หอน อันนี้ผมลองแล้วก็ยังหอนเหมือนเดิมครับ
ถ้า gain น้อย ทำอะไรก็ไม่ถนัด เช่น sent monitor Aux gain ก็จะน้อยตามด้วย ถ้า monitor amp ไม่แรง เร่งAuxจนสุด ก็ไม่ดังครับ แถมยังหอนซ้ำอีก ทีนี้ก็ไปกด EQ ลง ยิ่งไม่เหลือ gain นักร้อง-นักดนตรี ก็ไม่ได้ยินอีก ทุกท่านเคยประสบเหล่าปัญหานี้ไหมครับ
    อันนี้เล่าประสบการณ์ที่เคยเจอมาครับ
พอใช้หลัก gain structure เข้ามาปรับ ผลที่ออกมาดีขึ้นผิดหูผิดตา นักร้อง-นักดนตรีบอกว่า เสียงmonitor ดังเกินไป ทั้งที่ใช้ชุด monitor ตัวเดิม เรื่อง หอน ค่อยไปปรับที่ EQ อีกที ตอน set up  Monitor

อีกเรื่องที่อาจต้องทำความเข้าใจกันใหม่ เรื่อง ปุ่ม Volume ของ Amp ครับ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ปุ่ม volume แต่มันคือ ปุ่ม input attenuator ใช้ลด gain ขาเข้าของ power amp หรือคิดง่ายๆ มันก็คือปุ่ม gain ของ amp ถ้ายิ่งบิดจนสุด ก็จะทำให้ gain ขาเข้า power amp มากขึ้น แต่ในขณะที่เราเปิด ปุ่ม volume amp จนสุด gain ที่ออกจาก mix เพียง 6 dBu ก็ทำให้ amp clipได้แล้วครับ ทำให้เรา ได้ gain ที่ mixer น้อย แต่เสียงดัง
ถามว่า gain mixer น้อยแล้วเกิดอะไรขึ้น  ก็กระทบกับ อุปกรณ์ out board ของเราดังที่ผมอธิบายข้างต้นไปแล้ว แถมได้ Noise มาด้วย  ดังรูป



สังเกตถ้า gain น้อย ไป เราจะได้ Noise เพิ่ม อีก

จากรูป จะมีคำว่า dynamic range/ Signal to noise ratio/ Head room ซึ่งคุ้นๆ กันมั้ยครับ โดยเฉพาะ คำว่า signal to noise ratio กับ Head room มักจะเจอใน คู่มือตรง technical specification คำพวกนี้หมายถึงอะไร เกี่ยวข้องอะไรกับการ set  up ระบบ ของเรา  

Dynamic range คือ ระดับสัญญาณตั้งแต่ noise floor จนถึง clip ซึ่งเครื่องมือแต่ละชิ้น mixer/ EQ/ cross over/ Power amp จะมีค่าต่างกัน โดย mixer จะมีมากที่สุด เพื่อที่จะปรับแต่ง gain เพื่อ ป้อนไปสู่เครื่องมืออื่นๆได้ดี

Signal to noise ratio คือ ระดับสัญญาณตั้งแต่ noise floor จนถึง ระดับ 0 dB

Head room คือระดับ สัญญาณ ตั้งแต่ 0 dB จนถึง clip level ซึ่งใน mixer แต่ละ ยี่ห้อ ก็ไม่เท่่ากัน อยู่ที่ประมาณ 20-24 dB ส่วนนี้สำคัญมากสำหรับงาน PA มันคือเพดานที่เราจะสามารถปรับ mix balance sound ต่างๆให้คงอยู่ระดับนี้

จะเห็นว่า ระดับที่เหมาะสมของการปรับ Gain ไมค์ - เครื่องดนตรีต่างๆ ไม่ใช่ให้อยู่ที่ 0 dB ทั้งหมด ระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ -12 ถึง +6 dB แล้วแต่ความต้องการใช้ gain ในการปรับแต่ง

คงมีหลายท่านสงสัยว่า อ้าวแล้วพวกที่เขาเปิดเพลงเสียงดัง เกิน 100 dB ล่ะ มันใช้หน่วยเดียวกันกับ mixer เราหรือเปล่า ทำไมเปิดแค่ 0 dB ที่ mixer แล้วชาวบ้านว่าดังไป ถ้าเปิด 100 dB จะไม่เป็นประสาทหูเสื่อมหรือ  ซึ่งอันนี้มันคนละความหมายกันครับ ความดังที่เราได้ยิน เราเรียกว่า ระดับความเข้มของเสียง (Sound Pressure Level) มีหน่วยเป็น decibel (dB) ใช้เขียนสื่อความหมายว่า dB SPL
ใช้อ้างอิงคนละแบบกับ mixer ของเรา

สำหรับอุปกรณ์เครื่องเสียง ของเรา หน่วย dB ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น

0 dBu ใช้เทียบกับ แรงดันไฟฟ้า ที่ตกคร่อม ความต้านทาน 600 โอห์ม แล้วได้พลังงาน 1 mW จากกฎของ โอห์ม P=V2/R จะได้ V=รากที่สองของ P x R คือ
0 dBu = 0.775 Vrms  (มักใช้ใน studio recording level (pro audio))
(เดิมนั้น หน่วย dBu เขียนเป็น dBv แต่เพื่อไม่ให้สับสนกับ dBV จึงเปลี่ยนสัญลักษณ์เป็น dBu)

0 dBV ใช้เทียบ แรงดัน 1 Vrms (ส่วนใหญ่ใช้ใน home recording level (consumer audio))

0 dBVU เป็นหน่วยที่นิยมใช้เพื่อเทียบ scale VU meter ของ main output mixer ซึ่งปกติโดยทั่วไป = +4 dBu แต่ที่ VU ของ mixer จะอ่านว่า 0 dB
0 dBVU = +4 dBu = 1.228 Vrms

ดังนั้นถ้า specification ของ mixer มี Head room 24dBu ที่  0 dB ของ VU จะเท่ากับ +4dBu mixer จะมี scale ถึงแค่ 20 dBu (24-4)

สูตรเปลี่ยน หน่วยระหว่าง  dBu กับ Vrms


V0 คือ 0 dBu = 0.775 Vrms
 
แผนภูมิเปรียบเทียบ dBu/dBV และ Vrms



ถ้าจะเปลี่ยนหน่วย ระหว่าง dBu กับ dBV อันนี้ความสัมพันธ์เป็น linear เนื่องจากเป็น logarithmic scale เหมือนกัน

ใช้สูตร dBV=dBu+2.2



รูปนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ระดับความเข้มของเสียง กับ ความถี่ของเสียง ให้ดูแล้วคิดตามนะครับ

จะมีคำว่า Sound Pressure Level (SPL) คือ ระดับความเข้มเสียง(ความดัง)ที่วัดได้ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งอ้างอิงกับระยะที่เราฟัง ห่างจากแหล่งกำดนืดเสียง หน่วยเป็น dB SPL

สำหรับ การออกแบบความดังของเสียงใน scale งานต่างๆนั้น
Desired SPL ควร จะไห้ได้ประมาณนี้ครับ

New age: 60-70 dB
Folk: 75-90 dB
Jazz: 80-95 dB
Classical: 100 dB
Pop: 90-95 dB
Rock: 95-110 dB
Heavy metal: 110 dB

งาน PA แบบ out door ควรมี SPL สูงสุด 110-115 dB ฟังแล้วไม่เมื่อยหู
งาน indoor แบบงานแต่งในหอประชุม SPL สูงสุด 85-95 dB

ซึ่ง SPL เราวัดได้โดยใช้ SPL meter วัด



ในงาน PA out door ควรมีระดับความดังอยู่ที่ 90-100 dB คือระดับที่ควรใช้เป็นระดับอ้างอิง 0 dB ใน mixer ของเรา เช่น เราปรับ สัญญาณจาก signal generator ให้ได้ 0 dB ที่ mixer เปิด amp เรียบร้อย ปรับ output ที่ cross over จากนั้นใช้ SPL meterวัดที่จุดอ้างอิงของเรา(จุดที่เราmixอยู่) ปรับจนได้ 95 dB เป็นระดับอ้างอิง ที่ 0 dBu ของ mixer ถ้า mixer ของเรา Headroom มี 22 dBu เราจะได้ SPL ระบบของเรา 117 dB(95+22)

แต่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติ เราคงไม่มี SPL meter มาวัดกัน ดังนั้น Desired SPL ที่ 0 dBu ของ mixer คงต้องใช้ จุดที่เรา mix เสียง เป็นจุดอ้างอิง ฟังเสียงแล้วว่าความดังระดับนี้เหมาะกับกาลเทศะ

อัษฎาวุธ สอนพรหม
086-8624610


ออฟไลน์ montrevej

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 802
  • ไปเที่ยวกัน นะ นะ
    • http://s690.photobucket.com/user/montrevej/profile/
ทุกอย่างเป็นทฤษฎี ไม่ใช่ เขาบอกว่า เขาเล่าว่า ....
ทฤษฎี มีความหมายว่า...http://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎี
นาย สรพงษ์ มนตรีเวท เลขที่ 158/144 หมู่ 10 หมู่บ้านฉัตรแก้ว 1 ตำบล หนองปรือ อำเภอ บางละมุง จังหวัด ชลบุรี 20150 TEL : 088-615-7799


ออฟไลน์ ควร โคราช

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 670
  • เสียงเพลงทำให้ชีวิตมีคุณค่า
สุดยอดความรู้สำหรับรากหญ้าเลยครับ
นาย ธนวัฒน์ เข็มแสง เลขที่ 57 หมู่ 4 ตำบล บางพูน อำเภอ มือง จังหวัด ปทุมธานี 12000  TEL : 089-526-0403 ธ.กรุงไทย 467-0-91185-6 / kuankorat@yahoo.com


ออฟไลน์ นัฐ ซาวด์

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 558

..เปรียบง่ายๆมันก็เหมือนปุ่ม Gain ในไลน์มิกเซอร์นั่นแหละ..ท่านจะลดมาสเตอร์วอลลุ่ม และวอลลุ่มในสไลด์ลง แล้วเร่งเพิ่มที่ปุ่ม Gain ในไลน์.
....หรือท่านจะลดปุ่ม Gain ในไลน์มิกเซอร์ลง แล้วเพิ่มวอลลุ่มสไลด้ในไลน์+มาสเตอร์วอลลุ่ม... ความดังก็จะได้ออกมาพอๆกัน.
..สำหรับงานเล็กๆ งาน Indoor ที่ระบบสามารถครอบคลุมพื้นที่งานได้หมด จะปรับวอลลุ่มพาวเวอรืหมด หรือไม่หมดก็ไม่มีปัญหา
.แต่ก็.ปฎิเสธไม่ได้ว่าเวลาลดปุ่มวอลลุ่มที่พาวเวอร์แอมป์ลงแล้ว ในขณะที่ไม่ได้ปรับปุ่มที่อุปกรณ์อื่นเพิ่ม แล้วทำให้เสียงที่ออกมาเบาลง...
...
...แต่ถ้าพูดถึงงานสนาม PA เต็มรูปแบบ.
.....ถ้าเป็นเครื่องเสียงระบบใหญ่ๆที่ใช้จำนวนพาววเวอร์แอมป์มากๆแท่น+ตู้จำนวนมากๆตู้ เพื่อช่วยทำให้ได้เสียงดังได้ตามต้องการ จะทำตามทฤษฎี หลักการที่ว่าก็ได้ เพราะกำลัง ความดังของเสียงมันสามารถครอบคลุมพื้นที่งานได้อยู่แล้ว
....แต่ระบบเครื่องเสียงรากหญ้า  ขนาดกลาง-เล็ก โดยทั่วไปของคนไทยนั้น..มักจะไม่เหมือนระบบใหญ่ๆมาตรฐานทั่วไป..แต่ใช้แอมป์ขับจำนวนน้อยแท่น+ตู้จำนวนน้อยตู้...แต่ต้องการให้ได้เสียงที่ดัง แรง หนักแน่น กระหึ่ม ครอบคลุมพื้นที่งานได้มากที่สุด..ซึ่งประเด็นนี้ถ้าไปปรับลดวอลลุ่มพาวเวอร์แอมป์ลง แล้วไปปรับเพิ่ม Gain อื่นๆชดเชย โดยเฉพาะ Gain ในไลน์มิกเซอร์...ผลที่จะตามมาคือสัญญาณที่มาถึงพาวเวอร์แอมป์จะมีอาการพีค ล้น จนทำให้พาวเวอร์แอมป์เกิดการคลิปตามมาอย่างมโหฬาร..สุดท้ายดอกลำโพงจะเสียหาย ขาดไหม้กลางงาน ทำให้งานเสียหายได้ง่ายๆ
..

แสดงว่าคุณยังไม่ทราบหลักการ balance gain ของระบบที่ถูกต้องนะครับ จึงทำให้เกิดอาการ peak ของสัญญาณที่ amp
ยิ่งบิด volume amp จนสุด gain ที่ mixer ยังไม่ถึง 10 dBu ก็ทำให้  amp clip แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นจะรากหญ้าหรือรากแก้ว อุปกรณ์จำกัดหรือไม่จำกัด ก็มีหลักการเดียวกันครับ

ผมมีวิธี setup ระบบแบบง่ายๆมานำเสนอครับ เพื่อที่จะ balance gain ของระบบไม่ให้ clipหรือ peak และสามารถรีดเอาความสามารถและประสิทธิภาพของเครื่องเสียงของท่านให้แสดงออกมาได้สูงสุด ว่างๆก็ลองไปทำตามดูนะครับ



ผมจะทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ

1. ต่ออุปกรณ์ทุกชิ้น ให้เรียบร้อย ยกเว้น สายลำโพงที่ต่อจากก้นแอมป์
2. เปิดเครื่อง CD->mixer->EQ->cross over- >Power amplifier
3. เลื่อน slide master และ slide ch fader ของ CD  ไว้ที่ ระดับ U (unity)  EQ gain ที่ 0 dBu ส่วน power amp ยังไม่หมุน Volume ครับ
4. เปิด CD เลือกเพลงอะไรก็ได้ ที่มีเสียงดนตรีครบทุกย่านความถี่
5. หมุน Ch gain ของCD หมุนจน master VU meter clip แล้วค่อยๆลด gain ลงจนเกือบ clip
6. สังเกต LED meter ของ EQ (กด on ให้EQทำงาน) ถ้ายังไม่clip ให้เพิ่ม gain ของ EQ จน meter ของ EQ clip แล้วลดลงมาให้เกือบ clip เช่นเดียวกับ mixer
    - แต่ถ้า EQ clip ก่อนที่ VU meter ของ mixer จะclip ให้ปรับสัญญาณที่ mixer ให้ เกือบclip ก่อน แล้วจึงลด gain ของ EQ ลงจนเกือบ clip
7. สังเกตที่ input meter ของ cross over (ปรับจุดตัด crossover ให้เรียบร้อยก่อน) balance input gain ให้ได้เหมือนที่กล่าวมา ถ้าได้แล้วให้สังเกต ที่ output meter ของ crossover แต่ละ band
    จะสังเกตว่าสัญญาณจะไม่สูงจนclip เหมือน input เนื่องจากสัญญาณถูกแบ่งพลังงานตามจุดตัด cross over แต่ละ band
เราอาจจะเร่ง gain ที่ output ของแต่ละ band เพื่อชดเชยให้เกือบ clip หรือไม่เร่งก็ได้

8. หมุน Volume ของ amp ตามเข็มนาฬิกา จน สัญญาณ clip กระพริบ พอดี ทั้ง 2 ch จากนั้น ปรับลดลงจนเกือบ clip เช่นกัน จำตำแหน่งที่ volume amp ใ้ห้ดี
หรือ
ถ้า crossover ของเรา ที่ output แต่ละ band มี limiter ก็เปิด function นี้แล้วปรับ threshole ให้สัญญาณที่ amp ไม่ clip

9. จากนั้น ปิด CD ปิด Amp แล้วต่อสายลำโพงเข้ากับก้น amp แล้วเปิดใหม่ หมุน volume amp ไว้ที่ตำแหน่งเดิม(ที่สัญญาณเกือบ clip พอดี)

     ทำอย่างนี้กับ amp ทุกตัวในระบบ ไม่ว่าจะเป็น Low mid high หรือ monitor aux

10.  ทดสอบไมค์ หรือ เปิด เพลง slide fader ที่ 0 dBu แล้วหมุนเพิ่ม gain ทดสอบไมค์หรือ CD กด PFL แล้วให้สังเกตสัญญาณที่ meter จนกว่าจะได้ 0 dBu แล้วใช้สัญญาณระดับนี้เป็นจุดอ้างอิง ที่ฟังได้พอดีไม่ดังไม่เบาเกินไป ถ้าดังเกินไป แสดงว่า power amp ของเรามีกำลังเหลือเฟือ สำหรับ งานนั้นๆ ให้ balance output ของ cross over แต่ละ band จนได้ low mid high ที่สมดุลโดยการปรับลดลงในแต่ละ band
แต่ถ้าเบาไป ลองเร่งgain เพิ่มอีก จนmeter อ่านได้สัก 6 dBu ถ้าดังใช้ได้ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเร่งแล้วเสียงยังเบาแสดงว่า ระบบของเรายังมี power amp หรือลำโพง ไม่พอให้หามาเพิ่มอีก ไม่ต้องไปดันทุรังบิด volume amp เพิ่มเพราะถ้าเพิ่ม มากกว่านี้ clip แน่ๆ

* ถ้าจะให้ดี ใช้ pink noise เป็นตัว generate สัญญาณ แทนการเปิด CD เพราะ พลังงานจะเท่ากันทุกความถี่

ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่า amp ของเราจะ clip เพราะสัญญาณที่แรงจาก mixer เพราะถ้าที่mixer ไม่ clip amp เราก็ไม่มีทาง clip

ที่ผมปรับอย่างนี้เพราะผมยึดหลัก Gain structure ครับ ใช้วิธีนี้ set up gain เพื่อ ง่ายต่อการ ปรับ เครื่องมือทั้ง Board mixer และ outboard (Gate/ compressor/Effect/EQ/Cross over/Aux monitor และอื่นๆ) ซึ่งต้องได้ gain ที่เหมาะสม โดยเฉพาะ พวก compressor/Gate สัญญาณ input ต้องได้จาก mixer หากสัญญาณมาน้อย จะทำให้ dynamic range น้อยลงด้วย

ฝากรูปทิ้งท้ายให้ดูและพิจารณาครับเดี๋ยววันพรุ่งนี้จะอธิบาย เรื่อง gain structure ให้ทุกท่านได้เข้าใจครับ



สุดท้ายนี้ก็ขออาราธนา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธรรมกาลามสูตร ว่าด้วย วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)


ผมลองทำตามนี้แล้วครับ แจ่มเลยครับ พรุ่งนี้ออกงานเดี๋ยวลองแบบเต็มๆ ยาวๆ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
อานนท์ เกิดแดง 193/1 ม.5 ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ 60150 TEL.0860143968 ธนาคารออมสิน
สาขาลาดยาว เลขที่บัญชี 020121138430 ชื่อบัญชี อารีรัตน์ เกิดแดง


ออฟไลน์ max_medkku

  • มือกีตาร์
  • ****
    • กระทู้: 151
มาต่อกันครับ



-จากรูป ด้านซ้ายมือคือ dynamic range ในอุดมคติ ของ อุปกรณ์ Electronic = 120 dBu มี Head room 30 dBu และ signal to noise ratio(SNR) 90 dBu
- รูปกลาง Dynamic range เป็นอุปกรณ์ ชนิดหนึ่ง สมมติ ว่าเป็น mixer มี 105 dbu โดยมี Head room 24 dBu และ SNR 81 dBu
- รูปขวาคือ Dynamic range ของ หูมนุษย์ มี 120 dB SPL

เทียบจาก ซ้ายไปขวา 0 dBu ของ mixer ถ้าเราปรับให้ได้ เท่ากับ 80 dB SPLโดยใช้ SPL meterวัด ที่ Head room สูงสุดของ mixer(+24dBu) จะได้ 114 dB SPL



รูปที่2

รูปนี้ บางท่านโดยส่วนใหญ่ชอบปรับกันครับ คือ ให้ สัญญาณ input จาก mixer ไป Signal processor (เช่น EQ/Cross over) ไป Amplifier เป็น 0 dB
(mixer ตั้งไว้ที่ 0 dB cross over /EQ bypass 0 dB และ amp บิดสุดเต็มกำลัง โดย Amp ตัวนี้ให้ระดับความดังที่ 120 dB SPL)

ซึ่งโดยส่วนใหญ่ Amp จะมี Head room ที่ต่ำกว่าชาวบ้านเขาอยู่แล้วครับ คือ 6 dBu หรือ ประมาณ 1.55 Vrms
ดูนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น



ไอ้หยา....
Dynamic range รวม ของระบบ เราเหลือแค่ 65 dBu
เหลือ Head room แค่ 6 dBu !!!

นั่นคือ ถ้า เราต้องการฟัง สบายๆ ที่ SPL= 80 dB เราต้องเร่ง gain ที่ mix แค่ - 30 dBu

แต่ถ้าเราต้องการ คง gain ไมค์ ที่ mixer ไว้ที่ ไว้ที่ 0 dBuให้มันดูดี ว่าระบบเรา มาตรฐาน 0 dBu (กด PFLดูแล้วmeter อ่านได้ 0 dBuแล้วชื่นใจ) เราต้อง ลด slide master fader หรือ slide channel fader ลงไป - 30 กว่าๆจึงจะได้ระดับเสียงที่ 80 dB SPL
แต่ผลที่ตามมา จะทำ gain output จาก mixer ออกมาแค่ -30 กว่าๆ dB (VU meter ของ Main mix อ่านได้ -30 dBu)และเสี่ยงกับ Noise ที่จะเกิดขึ้นกับระบบด้วย เช่นเสียงเดินบนเวที เสียงคนข้างๆคนที่ถือไมค์คุยกัน

ขอเสริมในเรื่องของ Head room ของ power amp อีกนิดนะครับ เราจะทราบค่าของมันได้จาก specification ในคู่มือ
เช่น ยกตัวอย่าง amp crown รุ่น xti มี Sensitivity(Vrms) for full rate power ที่ 4 โอห์ม เท่ากับ 1.4 V
หมายความว่า เมื่อเราบิด volume amp จนสุด สัญญาณที่จะสามารถขับ amp ตัวนี้ได้กำลังสูงสุดคือ 1.4 V ที่ load 4 โอห์ม หรือคิดเป็น dBu จะเท่ากับ 5.14dBu ซึ่งจะทำให้ power amp clipพอดี และถ้าต่อ output จาก mixerที่มี Headroom +24 dBu โดยตรง สัญญาณจาก mixer แค่ 6 dBu ก็ทำให้amp ตัวนี้ทำงานเต็มกำลังแล้ว แต่ขณะเดียวกันเราจะเสีย headroom ของระบบไป 18 dBu (24-6)

อีกวิธีที่ใช้สังเกต Headroom ของ ampคือ switchปรับ sensitivity ด้านหลัง amp เช่น 0.775 V, 1.4V หรือ 26dB คุ้นๆกันไหมครับ จากรูปจะอยู่ด้านล่างขวา


ตัวเลขพวกนี้หมายความว่าอย่างนี้ครับ
ถ้าปรับ ไว้ที่ 0.775V หมายความว่า เมื่อเราเร่ง volume amp จนสุด สัญญาณที่ให้ full rate power คือ 0 dBu และ Headroom ของampตัวนี้จะเท่ากับ 0 dBu
1.4V พูดไปแล้วขอข้ามนะครับ
ส่วน 26 dB หมายถึง การปรับsensitivity แบบ fixed gain โดยสัญญาณ input ของ amp ที่ 0 dBu(0.775 Vrms)จะถูกขยายให้เป็น 26 dBu ที่ output เสมอ
ส่วน Headroom นั้นขึ้นกับ อัตราขยายสูงสุดของ amp ตัวนั้น

จะเห็นว่า ถ้าสัญญาณ 0 dBu เท่ากัน แล้วปรับ ไว้ที่ 0.775V กำลังที่ขับออกมาจะเสียงดังกว่าเพื่อน ในทางกลับกัน amp ก็clip ง่ายกว่า และได้ Headroom น้อย

ทีนี้เราจะเลือกปรับ sensitivity อย่างไรให้เหมาะกับระบบของเรา
ให้พิจารณาดังนี้ครับ ถ้า mixer ของเรา Norminal output ตามspecification เป็น 0 dBu ก็จะเหมาะสมกับ 0.775V
ถ้า Norminal output คือ +4dBu ก็ควรเลือก 1.4V ซึ่งmixer มาตรฐานทุกวันนี้ส่วนใหญ่ให้ outputที่ +4dBu


สำหรับค่า SNR ของ power amp ดูได้จาก specificationในคู่มือ

ส่วนวิธีดู mixer ว่ามี Headroom(HR) เท่าไรนั้นให้ดูจาก specification เช่น ให้ ค่า SNR กับ Dynamics range(DR) ถ้ามันไม่บอกเราตรงๆก็จับ DR-SNR = HR
หรือ สังเกตที่  main meter ว่ามี scale สูงสุดเท่าไร ถ้าค่าสูงสุด คือ 20 dB แสดงว่า มี HR +24dBu (ที่ 0dBVU=+4dBu)
ถ้า ค่าสูงสุดคือ 16 dB แสดงว่า HR=+20dBu

อัษฎาวุธ สอนพรหม
086-8624610


ออฟไลน์ max_medkku

  • มือกีตาร์
  • ****
    • กระทู้: 151
ดังนั้น เพื่อให้ได้ Head room และ dynamic range สูงสุด เพื่อที่จะง่ายต่อการ ควบคุมระบบเสียงของเรา ผมจะอธิบายขยายความ กระทู้ที่ผมเขียนไว้ก่อนหน้านี้ให้เห็นภาพ ประกอบกับเหตุผล ให้เข้าใจดังนี้ครับ




ต่อเครื่องทั้งระบบทุกอย่างให้ครบ ยกเว้น สายลำโพงที่ต่อกับ amp

เปิด mixer แล้วให้ master slide อยู่ที่ 0 dB
จากนั้น ปล่อยสัญญาณจาก signal generator (ถ้ามี) โดยใช้ Pink noise ออกมาที่ out put ของ mixer ให้ Level meter เกือบ clip ดังรูปข้างบน แล้ว trim gain output ของmixer โดยใช้ปุ่ม trim gain(ส่วนใหญ่จะมีใน Digital mixer) ลดลง 4 dBu จะได้ HRของ mixer เท่ากับ HR ตามอุดมคติ แต่ถ้าไม่มี ปุ่มtrim gain ก็ไม่เป็นไรครับ แค่ทำให้ สัญญาณจาก mixer output peak ก็แล้วกัน
ถ้าไม่มี signal Gen ก็ใช้เพลงอะไรก็ได้ที่มีเสียงดนตรีออกครบทุกความถี่



-แต่เนื่องจาก Head room ของ signal processor ของเรา มีแค่ +18dBu จึงรับ สัญญาณจาก mixer ที่มี Head room ถึง 26 dBu ไม่ไหว จึงเกิดอาการ clip ค้างก่อน






ดังนั้น เราต้องลด Gain input ของ signal processors ลง 8 dB meter จึงจะเกือบ clip
สังเกตที่ amp ที่มี Head room อันน้อยนิด ถ้าเปิดเครื่องไว้แล้วบิดจนสุด สัญญาณจาก crossover มาแรงขนาดนี้ ต้อง clip แดงแจ๋ แน่นอน
ฉะนั้นต้องหมุน Volume amp(Gain input attenuator) ไว้ที่ตำแหน่งต่ำสุดก่อน จากนั้น ค่อยๆ ปรับขึ้นจน ไฟ clip ของ amp กระพริบ พอดีก็จะได้แบบรูปข้างล่าง หรือปรับลด volume amp ลงจน ไฟ clipกระพริบ ในกรณีที่บิดไว้ตำแหน่งขวาสุด แล้วให้จำตำแหน่งนี้ไว้ว่าเป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยกับ amp ของเรา เวลาไป set up งานครั้งต่อไปก็ให้หมุนมาตำแหน่งนี้ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะ power amp ของเราส่วนใหญ่ไม่มี scale เป็น dBu ให้เห็น


 


-จากรูปจะเห็นได้ว่า Dynamic range ของระบบเราเพิ่มเป็น 85 dBu จากเดิม 65 dBu  
-Head room ได้เพิ่มเป็น 26 dBu เท่ากับของ mixer
- โดยมีระดับความดัง ที่ 0 dBu ของ mixer เทียบกับ Acoustic SPL อยู่ที่ประมาณ 94 dB SPL (เส้นสีน้ำเงิน)
ถ้าระดับความเข้มเสียงต้องการ ในงานนั้นๆ (Desired SPL)คือประมาณ 80 dB SPL (เส้นสีเขียว) เราก็สามารถลด ได้ทั้ง Main fader ของ mixer ลง - 14 dBu  หรือลดที่ Gain ของ EQ ก็ได้  ดังนั้นถ้าเรา set ได้อย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องลด volume ของ amp อีก
แต่ที่ดีที่สุดคือ ลดที่ตำแหน่ง cross over output จะดีที่สุดเพราะ เราต้องการ ใช้ Gain ที่สูงและเหมาะสม ในภาค input ของ cross over เพื่อปรับแต่ง parameter ต่างๆในภาคinput เช่น compressor(ในกรณี เป็น digital crossover)

สังเกตแล้วคิดตามนะครับ ถ้าเราลด Main fader จะทำให้ Gain ทีไปที่ EQ และ Crossover ลดลง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการ ปรับแต่ง EQ และ Function ต่างๆใน cross over เช่น Compressor/gate/ Limiter ค่าต่างๆที่เราตั้งไว้ ก็ไม่ทำงาน เพราะ Gain ยังไม่ถึงระดับ Threshold ที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเราใช้วิธีการลด output volume ของ cross over ก็จะไม่มีผลกระทบกับ gain input ของ cross over


-ถ้าเราต่อ Aux sent monitor หรือ sub group เราก็ต้อง set gain แบบนี้ทั้งระบบ เหมือนกัน คือให้ clip เท่ากัน ทุกๆอุปกรณ์ในระบบ

ถ้า set gain monitor ได้อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาเรื่องเสียงmonitor ดังเบา
ที่ผ่านมาบางท่านรวมทั้งตัวผมเองเน้นที่ power amp ระบบ PA มากแล้วปรับ amp ระบบ PA จนสุดทำให้ได้ gain ที่ mixer น้อยเกินไป ส่งผลกระทบไปถึง ระบบ monitor ที่ใช้ gain ค่าเดียวกัน ถ้าpower amp ของ monitor กำลังน้อย แล้ว gain ยังน้อยอีก จึงทำให้ เกิดปัญหาmonitor ไม่ค่อยดัง ทั้งๆที่ power amp ของmonitor ก็บิด volume จนสุด

สุดท้ายคือ การใส่ Limiter ให้กับ amp ของเรา เพื่อป้องกัน ความเสียหายที่จะเกิดกับ amp และ ลำโพง
ง่ายๆ คือ เมื่อเราปรับสัญญาณให้ amp clip เรียบร้อยแล้ว ไปที่ output ของ cross over (Digital cross over) เปิด function Limiter แล้วปรับลด threshold ลงจนสังเกตได้ว่าอาการ clip ของ amp ไม่ค้าง หรือ ไม่ให้กระพริบ
จากนั้นทำอย่างนี้กับ ทุกๆ Output ของcross over Low-mid-high ทำทีละ  band เท่านี้ก็เสร็จการ set up ระบบของเราแล้วครับ

หาก set ได้อย่างนี้แล้ว เสียงยังไม่ดังจุใจท่่าน ทุกอย่างเปิด clip จนหมด แต่เสียงยังไม่ดัง การแก้ปัญหาคือ หา Power amp และตู้ลำโพงมาเพิ่มครับ
อัษฎาวุธ สอนพรหม
086-8624610


ออฟไลน์ max_medkku

  • มือกีตาร์
  • ****
    • กระทู้: 151
ตัวปัญหาสำหรับการ setup gain ให้เป็นแบบ peak to peak นั้น คือ cross over ครับ
กล่าวคือ Cross over ไม่ได้เป็นเป็นอุปกรณ์ที่เป็น Unity gain เหมือน EQ/gate/compressor ซึ่งอุปกรณ์ที่เป็น Unity gain คือสัญญาณเข้าเท่าไรก็ออกเท่านั้น (หากไม่ได้ปรับแต่งใดๆ)
แต่ cross over จะมีการแบ่งพลังงานจากสัญญาณขาเข้า ตาม band ต่างๆ ที่เราได้ตั้งค่าจุดตัดไว้(filter) จึงทำให้สัญญาณขาออกสูญเสียพลังงานแตกต่างกันในแต่ละ band โดยปกติเมื่อเปรียบเทียบกับภาคinputของcross over gainของoutput จะต่ำกว่า

สมมติว่า 3 way cross over เราตั้งจุดตัด ความถี่ Low,mid,high ไว้ที่ 40-120Hz, 120-2kHz, 2kHz-16KHz ตามลำดับ
ถ้าเราปล่อย pink noise จาก mixer เข้าที่ input cross over จนเกือบ clip จะสังเกตเห็น gain meter ของ Low ต่ำสุด mid จะ gain มากที่สุด

วิธีคำนวน พลังงานที่สูญเสียไปจากการแบ่งจุดตัด ทำได้ดังนี้ครับ
1. เอา 2 คูณค่าความถี่ที่ต่ำที่สุดของแต่ละ band คูณไปเรื่อยๆจนได้ค่าใกล้เคียงกับ ค่าความถี่สูงสุดของ band นั้นๆแล้วจำจำนวนครั้งที่คูณจนได้ค่าสูงสุดไว้ (จำนวนครั้งที่คูณนี้คือค่า octave ทั้งหมดของband นั้นๆ)เช่น Low 40 คูณ 2 จำนวน n ครั้ง แล้ว เท่ากับ 120 เขียนเป็นสมการได้ดังนี้ครับ

                                                   40(2n)=120
                                                         2n = 3
take Log เข้าไป ทั้ง 2 ข้างของสมการ.          log[2n]=log3
                                                           n(log2)=log3
                                                                    n=log3/log2=0.48/0.3
                                                                   n= 1.6
คิดทั้ง 3 band จะได้ n ของแต่ละ band (octave) ดังนี้คือ  [1.6, 4, 3]

2. เอาจำนวน octave ของทุก band บวกกัน จะได้ 1.6+4+3=8.6
3. เอา octave รวมที่หาได้ ไปหาร ค่า octave ของแต่ละ band จะได้ [0.19, 0.47, 0.35]
4. take Log เข้าไป จะได้ log0.19, log0.47, log0.35 >>> [-0.72, -0.33, -0.46]
5. เอา 10 ไปคูณ จะได้ [-7.2, -3.3, -4.6]

ค่าที่ได้จะเป็นค่า dBu ที่สูญเสียไปในแต่ละ band ; low mid high ตามลำดับคือ -7.2dBu,-3.3dBu และ -4.6dBu
ให้ปรับเพิ่มoutput gain เพื่อชดเชย ตามband ต่างๆ คือ +7.2,+3.3 และ +4.6 ก็จะทำให้สัญญาณที่ cross over output clip พอดีเมื่อปล่อยสัญญาณ pink noise จาก mixer มา

ที่แสดงให้เห็นนี้เป็นวิธีคำนวนโดยละเอียดเพื่อที่จะนำไปตั้งค่า gain ของ cross over output โดยเฉพาะ Digital Cross over ซึ่งมีความละเอียดและสามารถ save ค่าได้
ในทางปฏิบัติ ส่วนใหญ่ใช้ analog cross over การปรับแบบง่ายๆคือ เมื่อ input ของ cross over clip พอดี ก็เร่ง gain output ของ แต่ละ band จน clip พอดีเช่นกัน ซึ่งไม่ต้องเสียเวลามาคำนวนให้ยุ่งยาก
หลังจากที่Set gain ของ Cross over ได้แล้วก็ไปset power amp ตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ แล้วใส่ limiter ของcross over แต่ละ band เพื่อเป็นการป้องกัน การ clip ของ power amp อีกชั้นหนึ่ง (ในกรณี digital cross over)


ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงการ Setup gain ให้เหมาะสมเท่านั้น
ยังเหลือที่จะต้อง setup ต่ออีก เช่น
- EQ เพื่อปรับ Room acoustic resonance
- EQ Monitor/ gain before feedback
- การ Balance sound ต่างๆ
- การปรับ Dynamic Gate / compessor

ต้องทำให้เร็วให้คล่องครับ
ลองนำไปใช้ดูนะครับ
อัษฎาวุธ สอนพรหม
086-8624610


ออฟไลน์ คนพระจันทร์

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 493

ขอบพระคุณมากครับ

เรื่อง  เกน นี่

Sound Engineer เรียนเป็นเทอม

ฝึกปรือตลอดชีวิตละครับ

ผมเซฟไว้แล้ว 
เอาไปเรียบเรียงใหม่  เขียนเป็นตำราขายได้เลย  พูดเล่นครับของเค้ามีลิขสิทธฺ์
อภินันท  แสนบุ่งค้อ
99/1 หมู่บ้านชัยพฤกษ์ ถ.บางนา-ตราด ( กม. 18 )  ต.บางโฉลง อ.บางพลี
จ.สมุทรปราการ  10540
โทร. 080 593 9556


ออฟไลน์ anurukburanon

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 560
  • <iframe src="http://www.facebook.com/plugins/likeb
    • www.facebook.com/maxmusicsuphan
อยากเรียนซาวด์เอ็นบ้างจัง แต่ไม่รู้จะมีใครรับผมทำงานไหม ไม่รู้ว่าที่ไหนเขารับสมัครงานบ้างครับ

เพราะเริ่มรู้สึกว่าเรียนมหาลัยมันยากมาก โดยเฉพาะคณิตและฟิสิกส์
อนุรักษ์ บุรานนท์<br /><br />175/1 หมู่ 1 ต.บางพลับ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี 72110<br />โทร. 096 - 0423835


ออฟไลน์ คนพระจันทร์

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 493

เอ็นจิเนียร์  =   วิศว

Sound Engineer

อืมต้องมีพื้นฐานคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ พอควรนะครับ
ทั้งสองศาสตร์เป็นวิชชาที่ว่าด้วยเหตุผล  ของจริงล้วน
คณิตศาสตร์สอนคนให้มีเหตุผล
วิทยาศาสตร์ฟิสิกส์  สอนความเป็นจริงตามธรรมชาติ

มันช่วยให้ทำงานด้าน Sound  ถูกต้องแม่นยำขึ้นครับ

ต้องฝึกตัวเองให้รักวิทยาศาสตร์ 
เพราะมันเป็นรองแค่ ศิลปศาสตร์เท่านั้น
สมัยโบราณวิทยาศาสตร  เป็นสาขาวิชาหนึ่งในวิชาศิลปศาสตร์ครับ
อภินันท  แสนบุ่งค้อ
99/1 หมู่บ้านชัยพฤกษ์ ถ.บางนา-ตราด ( กม. 18 )  ต.บางโฉลง อ.บางพลี
จ.สมุทรปราการ  10540
โทร. 080 593 9556