Tigger Sound
สังคมออนไลน์คุณภาพของคนรักเครื่องเสียง
ทดสอบเสียง HK1.1 By Tiggersound https://www.facebook.com/tiggersound/videos/10218510874389162

ระบบสัญญาณ Balanced ,Ubal ฯลฯ ที่เกี่ยวข้อง

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ถาวร

  • มือเบส
  • ***
    • กระทู้: 58
    • PLC Home Automation
     เป็นข้อมูลของผู้ใช้นามว่า jui6s จากเว็บ patid อ่านแล้วนึกภาพออก มาปรับข้อความตามแนวทางการถ่ายทอดของผมอีกครั้ง..  ประโยชน์หลักคือลด noise ที่เกิดในสายไฟ ซึ่งถ้าสายยาวมากๆ อาจผ่านบริเวณที่มีการเหนี่ยวนำสัญญาณรบกวน ก็จะมีโอกาสเกิด noise ได้มาก

     เป็นความฉลาดในการคิดทำ balance สัญญาณ โดยการเอาสัญญาณที่เป็นสัญญาณเดียวมาแบ่งเป็นสองสัญญาณ คือบวก(สัญญาณปกติ) และลบ(กลับเฟส) แล้วส่งให้เดินทางไปในสายพร้อมๆกัน ระหว่างทางถ้ามี noise เกิดขึ้น โดยธรรมชาติมันก็จะเกิดที่สายไฟทั้งสองเฟส และให้รูปคลื่น noise ที่เหมือนกัน ณ จุดเดียวกัน เพียงแต่เวลาแปลงกลับมา noise มันไม่ฉลาดที่จะกลับเฟสในสายลบได้ด้วยตัวเอง ดูภาพประกอบครับ..

     สัญญาณปกติ(สีดำ) เมื่อผ่านวงจร balance จะแยกออกเป็นสองสัญญาณ คือสัญญาณบวก(สีแดง) ซึ่งยังคงเหมือนสัญญาณปกติ และสัญญาณลบ(สีน้ำเงิน) ซึ่งจะใช้การกลับเฟสสัญญาณเดิมตรงๆ เพิ่มเข้ามาอีก 1 เส้น แล้วส่งออกไป ร่วมกับสายกราวน์
     หากเราใช้สายแบบ Unbalance ที่ปลายทางจะรับสัญญาณปกติที่เป็นบวก(สีแดง) เพียงอย่างเดียว สัญญาณลบ(สีน้ำเงิน)จะไม่ใช้ ซึ่งเราจะต้องต่อให้มันลงกราวน์ตรงๆไปเลย



     ทีนี้ในสาย balance นั้น มันเดินทางไปไหนต่อไหน และระหว่างทางผ่านอะไรบ้างก็ไม่รู้ ถ้ามีอะไรที่ทำให้ noise เกิดขึ้นในสายดังกล่าว โดยธรรมชาติมันจะเกิดทั้งในเฟส + และ เฟส - และจะเกิดในทิศทางเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน ดังภาพด้านล่าง เป็น Noise ที่ทำให้สัญญาณทั้งสองเฟสมีเกนสูงขึ้นทิศทางเดียวกันในช่วงเวลาสั้นๆ

 

     ที่ Input ของเครื่องปรุงจะมีวงจร balance อีกตัวหนึ่งคอยรับสัญญาณทั้งสองเข้ามา เฉพาะสัญญาณลบที่เข้ามานั้น จะถูก invert ให้เหมือนสัญญาณบวกอีกครั้ง แล้วไป sum รวมกับสัญญาณ+  (ถ้าเราใช้ Unbalance ก็จะไม่มีกระบวนการนี้)

   

     วงจร balance ปลายทางเมื่อกลับเฟสที่ด้านลบแล้ว ทำให้สัญญาณกลับมาเหมือนด้านบวกอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้ noise จะถูกสับขาหลอกให้กลับเฟสด้วย เมื่อนำทั้งสองสัญญาณมารวมหรือ sum กันในทางไฟฟ้า ก็จะกลับมาเป็นสัญญาณ unbalance อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ noise ที่เฟสต่างกันก็จะหักล้างกันเองพอดี เพราะถ้าด้าน + เท่ากับ  +1 ที่ด้านลบถูกหลอกเป็น -1 เมื่อรวมกันก็จะเท่ากับ 0 นั่นคือ Noise จนลดหรือหายไปนั่นเอง ส่วนสัญญาณเองจะถูกขยายเป็น 2 เท่า เพราะรูปคลื่นที่เหมือนกัน
     แต่ถ้าปลายทางไม่มีวงจร balance สัญญาณ noise นั้นก็จะผ่านเข้าไปขยายเป็นเสียงที่ไม่พึงปราถนาออกมาสู่ลำโพงได้



     จึงทำให้ดีว่าสายแบบ unbalance สามารถลากสายได้ยาวๆ ไม่กลัว noise ครับ (สำหรับภาพสุดท้ายที่บอกว่าสัญญาณ balance จะเป็น 2 x Signal A นั่นคือสัญญาณจะใหญ่เป็น 2 เท่า)

     สรุปการทำงานแบบ Balance

 
     สรุปการทำงานแบบ Unbalance


      ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจว่า เป็นการลดสัญญาณรบกวนจากภายนอกที่เหนี่ยวนำเข้ามาในสายระหว่างการส่งสัญญาณเท่านั้น noise ที่ปนมากับสัญญาณอยู่ก่อนแล้ว ลดไม่ได้ ..

      จึงเป็น Balance Hardware ที่มีเอาไว้หลอก Noise (สัญญาณรบกวน)

ถาวร แสงฤทธิ์
ตำรวจภูธรภาค 8 เลขที่ 88/8 ม.5 ถ.เทพกระษัตรีย์ ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 83110
ธนาคารกรุงไทย 808-1-96142-9  โทรศัพท์ 081 8928627


ออฟไลน์ THE BACK UP SOUND

  • มือกลอง
  • *****
    • กระทู้: 671
  • Electrical Engineering วศ.บ KMITL รุ่น 47
เสริมทัพอีกแรง เพื่อเป็นประโยช

BALANCE & UNBALANCE
  โดยทั่งไปการนำสัญญาณในระบบเสียงที่นิยมใช้กันนั้น มี 2 แบบคือ
1. BALANCE SIGNAL
2. UNBALANCE SIGNAL
การนำสัญญาณทั้งสองแบบ แตกต่างกันที่ตัวนำที่ใช้นำสัญญาณ หรือ สายสัญญาณ
นั่นเอง สายบาลานซ์จะมีตัวนำ 3 เส้นในการนำสัญญาณ ส่วน อันบาลานซ์ ใช้แค่ 2 เส้น
1. ฺBALANCE แจ็คที่ใช้กับสัญญาณบาลานซ์ ที่นิยม มี 2 แบบ คือ
1.1 XLR ( EXTRA LOW RESISTANCE ) ซึ่งหมานถึง สัญญาณที่มีความต้านทานต่ำ
มาก ( เป็นผลให้สามารถเดินสายสัญญาณได้ไกล ๆ โดยปราศจากสัญญาณรบกวน )
โดยสัญญาณจากขาต่าง ๆ ที่ต่อเป็นมารตฐานสากล คือ
ขาที่ 1 กราวด์ หรือ shield
ขาที่ 2 สัญญาณ + หรือ HOT SIGNAL
ขาที่ 3 สัญญาณลบ หรือ COOL SIGNAL
2.2 1/4 TRS ( TIP RING SHEEVE ) ซึ่งหมายถึง จุด ต่อสามจุดของแจ็คแบบ TRS
โดย TIP จะเปรียบเสมือน ขาที่ 2 ของแจ็ค XLR, RING จะเหมือน ขาที่ 3 ของแจ็ค
XLR และ S็H EEVE จะเหมือนกับ ขาที่ 1 ของแจ็ค XLR
..สายสัญญาณแบบ BALANCE มีการแยกสัญญาณ + และสัญญาณ - ออกจากกัน โดย
มีสาย Shield เป็นกราวด์ที่เดินคู่ขนานมาเพื่อป้องกันสัญญาณรบการจากภายนอก ทำให้
สัญญาณที่ได้มีความสะอาด ใส เสียงสัญญาณรบกวน ( NOISE ) น้อย
2. UNBALANCE แจ็คที่นิยมใช้ในระบบเสียงสำหรับ UNBALANCE คือ แจ็ค PHONO ,
RCA การต่อสัญญาณแบบนี้จะรวมเอาสัญญาณ - หรือ COOL SIGNAL รวมไว้กับ
กราวด์ หรือ SHEEVE ทำให้แทนที สายกราวด์จะทำหน้าที่ป้องกันเสียงรบกวนอย่าง
เดียวเหมือน BALANCE ต้องมาทำหน้าที่นำสัญญาณด้วย ดังนั้นสัญญาณรบกวน จาก
สายกราวด์ จึงปะปนมากับ สัญญาณ - จึงทำให้การต่อแบบ UNBALANCE จะมีสัญญาณ
รบกวนมาก ถ้ายิ่งเดินสายไกล ๆ
จะเห็นได้ว่า การใช้สายแบบ UNBALANCE นั้นจะใช้เฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้สายไม่ยาวมาก
เช่น สายแจ็คกีตาร์ สายแจ็ค CD, TAPE ส่วนการเดินสายไกล ๆ เช่น สาย มัลติคอร์
หรือ สาย CROSSOVER จะนิยมใช้แบบ BALANCE มากกว่า



นายรุ่งนิรันดร์ ประตูแก้ว(บอล) T.081-4117814 โรงไฟฟ้าหนองแค2 จ.สระบุรี (GULF JP GNK2) (OPERATION SHIFT LEADER ENGINEER) เลขที่บัญชี 4522328141 กสิกรไทย บ้านเกิด 73/1 ม.1 ถ.บ้านนา-บางอ้อ ซ.คลองมะม่วง ต.พิกุลออก อ.บ้านนา จ.นครนายก 26110


ออฟไลน์ ถาวร

  • มือเบส
  • ***
    • กระทู้: 58
    • PLC Home Automation
     การต่อ Cross แบบ 3 ทาง เป็น 2 ทาง จากหัวข้อของพี่"บ้านเก๋มิวสิค" นี่ก็เป็นเรื่อง balance สัญญาณเหมือนกัน ไม่ไช่สับขาหลอก noise เหมือนที่ผมอธิบาย แต่ผู้ใช้ตั้งใจหลอก balance input ที่เครื่องขยาย ผู้ที่คิดหัวใสโดยเสียบเสียงแหลมหลอกว่าเป็น noise ที่อีกเฟสหนึ่ง นำมารวมกันทางไฟฟ้ากับเสียงกลางออกมาดื้อๆเลย จะเรียกว่า Mix ก็ไม่น่าจะใช่เสียทีเดียว ซึ่งถ้าที่เครื่องขยายไม่มีวงจร balance input ก็จะใช้วิธีการนี้ไม่ได้ เป็นเรื่องการรวมสัญญาณอีกรูปแบบหนึ่ง ที่บังเอิญเป็นไปได้ตามหลักการ balance หรือเป็นการใช้ Balance ผิดประเภท ผมอธิบายตามความเข้าใจดังนี้ครับ



     เพราะสัญญาณซีกบวกของ Mid+ ไม่ได้ sum กับสัญญาณตัวเอง(Mid-)ที่กลับเฟสตามหลักการ แต่กลับ sum กับสัญญาณใหม่ที่กลับเฟสแล้ว(Hi-) รูปคลื่นสองอันนี่ยังไงมันต้องต่างกันแน่ เมื่อมายัง Input ส่วนของ Hi- จะถูกกลับเฟสเป็น Hi+ ดังนั้นทั้ง Mid+ และ Hi+ จะผ่านการ sum ที่ balance input ของเครื่องเสียงขยายไปสู่ลำโพงได้ ไม่ถูกหักล้าง เพราะอาจมองว่า Hi- เป็น noise ที่เกิดเฟสเดียว นั่นคือจงใจให้ Hi- เป็นเหมือน noise แล้วให้เสียงผ่านออกมา เป็นการใช้ balance input ตรงข้ามกับวัตถุประสงค์ โดยเอามาทำเป็นเหมือน Mixer นั่นเอง

     ข้อสังเกตุคือ ด้วยรูปคลื่น-ความถี่ที่ต่างๆกัน และการเกว่งไปมาของสัญญาณดนตรี ผมว่าบางจังหวะมันต้องมีการหักล้าง และบางจังหวะมันต้องมีการเสริมกันอยู่ตลอดเวลา (ตรงนี้จึงต่างจากคำว่า Mix) โดยเฉพาะถ้า Mid กับ Hi ตัดไม่เด็ดขาด หรือจงใจตัดให้มีส่วนทับซ้อนกัน พื้นที่ส่วนดังกล่าวเหมือนมันจะเสริมกันโดยการ sum อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เสียงในกลุ่มนั้นน่าจะเด่นขึ้นกว่าปกติ จึงเป็นอีกรูปแบบของการแต่งเสียงเหมือนกัน

     ก็ไม่แน่ใจว่าการ sum ของระบบ balance จะเหมือนหรือต่างจากการ sum ในพวก DriveRack เช่น การ set source input A+B  ทั้งนี้ก็น่าจะต่างจากการ mix ของ Mixer แน่ แต่หูเราคงแยกไม่ออก ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ทางความคิดที่เอาไปใช้ในการปรับแต่งได้อีกรูปแบบหนึ่งเลย แน่นอนว่าปรับได้หลากหลายมากกว่าแบบ 2 ทางตรงๆ .. ซึ่งทฤษฏีและปฏิบัติอาจแตกต่างกัน จึงน่าทดลอง..

     จึงเป็น Noise (สัญญาณเสียง) ที่เอาไว้หลอก Balance Hardware
ถาวร แสงฤทธิ์
ตำรวจภูธรภาค 8 เลขที่ 88/8 ม.5 ถ.เทพกระษัตรีย์ ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 83110
ธนาคารกรุงไทย 808-1-96142-9  โทรศัพท์ 081 8928627


ออฟไลน์ arkomtv5

  • จี.พี. ลูกทุ่งเพนจร
  • ท่านผู้ชม
  • **
    • กระทู้: 40
  • จีพี ลูกทุ่งเพนจร
           ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านเจ้าของแนวความคิดก่อนว่า ผมขออนุญาต แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปหวังว่าท่านคงไม่ถือโทษนะครับ....
            ส่วนตัวผมคิดว่า การเอา hot ของเสียงกลาง  แล้วเอา cold ของเสียงแหลม (หรือจะกลับกันก็แล้วแต่)มาทำเป็น บาลานซ์ (mid+hi) ถ้าตามหลักวิชาการ ลักษณะรูปร่างของสัญญาณ ของทั้ง 2เส้น จะไม่เหมือนกัน เพราะคนละย่านความถี่กัน การต่อลักษณะนี้จะมีจุดที่ สัญญาณ หายไป (ไม่ขยาย)คือ ณ.จุดเวลาที่ สัญญาณ(ก่อนกลับเฟส) ทั้งสองเส้น เป็น + เท่าๆกัน และ จุดที่เป็น - เท่าๆกัน ส่วน จุดที่ สัญญาณ แตกต่างกันน้อย ก็จะขยายน้อย ส่วนที่ที่มันแตกต่างกันมากก็จะขยายมาก(แบบนี้เรียกว่า ดิฟเฟอร์เรนเชียล).....
      ขออธิบายง่ายๆดังนี้ คือ ตามปกติวงจรบาลานซ์เมื่อถึงปลายทางก็จะกลับเฟส cold(-)เสียใหม่ แล้วไปเปรียบเทียบกับ hot(+) ถ้าสัญญาณเหมือนกัน แสดงว่า  นั่นคือเป็นสัญญาณที่แท้จริง ส่วนสัญญาณที่ไม่เหมือนกันมันก็คือของปลอม จะไม่ขยาย(นี่คือการทำงานปกติของ บาลานซ์  เพื่อป้องกัน NOISE...เหมือนกันคือของจริง/ไม่เหมือนกันคือของปลอม) ถ้าต่อแบบนี้ จะมีทีจุดที่ไม่เหมือนกันแยอะมาก (ซึ่งจริงๆแล้วมันคือของจริงของทั้งคู่)ถามว่ามีเสียงดังใหม ตอบว่ามีเสียงดัง(เหมือนจะปกติ) แต่ถ้าถามว่าครบใหม ตอบได้ว่าไม่ครบ แต่จะฟังรู้หรือปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง..(แต่ออสซิลโลสโคป รู้แน่)..........
            แต่ถ้าต่ออีกวิธีคือเอาresistor ค่าเท่ากัน 2ตัว ต่อจาก hot  ของ ไฮ และ มิด มารวมกัน ออกป็น  hot     และเอา resistor ค่าเท่ากัน กับ2ตัว แรก ต่อจากcold  ของ ไฮ และ มิด มารวมกัน แล้วออกเป็น cold (เรียกว่า คอมโพสิท)แบบนี้ เมื่อถึงปลายทาง สัญญาณ จะมีครบครับ ไม่มีการหักล้างกันเองในบางช่วง และถ้ามีสัญญาณแปลกปลอม(noise)มันก็จะไม่ขยายครับ
                             ขออภัยที่เห็นต่างอีกครั้งครับ
132 ม.10 ต.ปากพูน อเมือง จ.นครศรีธรรมราช


ออฟไลน์ ถาวร

  • มือเบส
  • ***
    • กระทู้: 58
    • PLC Home Automation
..... การต่อลักษณะนี้จะมีจุดที่ สัญญาณ หายไป (ไม่ขยาย)คือ ณ.จุดเวลาที่ สัญญาณ(ก่อนกลับเฟส) ทั้งสองเส้น เป็น + เท่าๆกัน และ จุดที่เป็น - เท่าๆกัน ส่วน จุดที่ สัญญาณ แตกต่างกันน้อย ก็จะขยายน้อย ส่วนที่ที่มันแตกต่างกันมากก็จะขยายมาก(แบบนี้เรียกว่า ดิฟเฟอร์เรนเชียล).....
     คำอธิบายนี้ เข้าท่าดี ถือว่าเป็นความรู้ใหม่เลย ต้องขอบคุณเป็นอย่างสูง..

..... ถ้าต่ออีกวิธีคือเอาresistor ค่าเท่ากัน 2ตัว ต่อจาก hot  ของ ไฮ และ มิด มารวมกัน ออกป็น  hot     และเอา resistor ค่าเท่ากัน กับ2ตัว แรก ต่อจากcold  ของ ไฮ และ มิด มารวมกัน แล้วออกเป็น cold (เรียกว่า คอมโพสิท)แบบนี้ เมื่อถึงปลายทาง สัญญาณ จะมีครบครับ ไม่มีการหักล้างกันเองในบางช่วง และถ้ามีสัญญาณแปลกปลอม(noise)มันก็จะไม่ขยายครับ.....
     คำอธิบายนี้ ก็น่าสนใจและน่าทดลองทำตามดู ขอบคุณอีกเช่นกัน..

ถาวร แสงฤทธิ์
ตำรวจภูธรภาค 8 เลขที่ 88/8 ม.5 ถ.เทพกระษัตรีย์ ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 83110
ธนาคารกรุงไทย 808-1-96142-9  โทรศัพท์ 081 8928627


ออฟไลน์ arkomtv5

  • จี.พี. ลูกทุ่งเพนจร
  • ท่านผู้ชม
  • **
    • กระทู้: 40
  • จีพี ลูกทุ่งเพนจร
แหมท่านพี่ถาวรช่างถ่อมตัวจริงนะ...ความรู้ท่าแน่นกว่าผมเยอะ.....ความจริงแล้วสิ่งที่ผมเขียนไปนั้นก็คือหลักวิชาการเดียวกับที่ท่านอธิบายมานั่นแหละครับ..เพียงแต่ผมพูดเจาะจงในบางจุดมากกว่า.......
132 ม.10 ต.ปากพูน อเมือง จ.นครศรีธรรมราช


ออฟไลน์ อาร์ตี้_SMK.Entertainment_หนองบัวฯ

  • หนุ่มน้อยหน้ามน คนหนองบัวลำภู
  • นักร้อง
  • ******
    • กระทู้: 1166
  • อย่าอายที่จะถามหากเราไม่รู้
เข้ามาช่วยดัน ความรู้ดีๆครับ
(อาร์ตี้) มนตรี ศรีมงคล<br />298/165<br />ม.4 ต.ในคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการโทร.085-1448457 D-TAC นะจุ๊ [/color]<br />


ออฟไลน์ banpa

  • NRC
  • มือเบส
  • ***
    • กระทู้: 71
  • ทฤษฎี มีปติบัติ ปติบัติออกมาเป็นทฤษฎี.
   เยี่ยมมากเลยครับ....ดูที่ MIX.ราคารากหญ้าหรือเครื่องขยายแบบบ้านๆถ้ามีการเอาสํญญาน 2 แหล่งขึ้นไปมารวมกัน จะใช้อุปกรณ์ที่ง่า่ยที่สุดรวมสัญญานคือ ตัวต้านทาน เพื่อไม่ให้ความถี่บางช่วงมันสูญเสีย.....
   
    ลองดูเล่นๆนะครับ... ท่านลองเอาเครื่องเล่น..CDหรือเครื่องขยายเสียง..อันโปรดของท่านเอา L+R รวมกันดื้อๆเลยแล้วเปิดฟัง....ลองดูผลที่ตามมาในเวลาอันสั้นและระยะยาว....เสียงดีขึ้นหรือCDอันโปรดของท่านจะเจ็บตัวก่อนอิอิ.....ลองดู....
....... ขออภัยนะครับเป็นความคิดในอีกแง่หนึ่ง.......
                       ...พี่ๆข้างบนอธิบายได้แจ่มแจ้งมากเลยครับ... smileyy
บ้านตำแย(ห้อง10/3) ซ.เจริญทรัพย์-ผกาแดง ต.กำแพง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ 33120
082-1314682..บรรพบ จำปาหอม (ธ.กรุงเทพ...ออมทรัพย์ ...789-001-0510....ชื่อบัญชี..ละอองดาว จำปาหอม)


ออฟไลน์ arkomtv5

  • จี.พี. ลูกทุ่งเพนจร
  • ท่านผู้ชม
  • **
    • กระทู้: 40
  • จีพี ลูกทุ่งเพนจร
   เยี่ยมมากเลยครับ....ดูที่ MIX.ราคารากหญ้าหรือเครื่องขยายแบบบ้านๆถ้ามีการเอาสํญญาน 2 แหล่งขึ้นไปมารวมกัน จะใช้อุปกรณ์ที่ง่า่ยที่สุดรวมสัญญานคือ ตัวต้านทาน เพื่อไม่ให้ความถี่บางช่วงมันสูญเสีย.....
   
    ลองดูเล่นๆนะครับ... ท่านลองเอาเครื่องเล่น..CDหรือเครื่องขยายเสียง..อันโปรดของท่านเอา L+R รวมกันดื้อๆเลยแล้วเปิดฟัง....ลองดูผลที่ตามมาในเวลาอันสั้นและระยะยาว....เสียงดีขึ้นหรือCDอันโปรดของท่านจะเจ็บตัวก่อนอิอิ.....ลองดู....
....... ขออภัยนะครับเป็นความคิดในอีกแง่หนึ่ง.......
                       ...พี่ๆข้างบนอธิบายได้แจ่มแจ้งมากเลยครับ... smileyy

ขออนุญาติแสดงความคิดเห็น.จากความรู้อันน้อยนิด.. อีกครั้งครับ..ที่กล่าวมาทั้งหมด ...เรียกว่า Buffer (บัฟเฟอร์)ครับท่าน...เพื่อความปลอดภัยของวงจรทั้ง2แหล่ง.........
132 ม.10 ต.ปากพูน อเมือง จ.นครศรีธรรมราช


ออฟไลน์ NPS Audio

  • ทำให้เสียงดีน่าฟัง ดีกว่าดังอย่างไร้สาระ
  • มือกีตาร์
  • ****
    • กระทู้: 270
  • NPS Audio Sound & Light
           ก่อนอื่นต้องขออภัยท่านเจ้าของแนวความคิดก่อนว่า ผมขออนุญาต แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปหวังว่าท่านคงไม่ถือโทษนะครับ....
            ส่วนตัวผมคิดว่า การเอา hot ของเสียงกลาง  แล้วเอา cold ของเสียงแหลม (หรือจะกลับกันก็แล้วแต่)มาทำเป็น บาลานซ์ (mid+hi) ถ้าตามหลักวิชาการ ลักษณะรูปร่างของสัญญาณ ของทั้ง 2เส้น จะไม่เหมือนกัน เพราะคนละย่านความถี่กัน การต่อลักษณะนี้จะมีจุดที่ สัญญาณ หายไป (ไม่ขยาย)คือ ณ.จุดเวลาที่ สัญญาณ(ก่อนกลับเฟส) ทั้งสองเส้น เป็น + เท่าๆกัน และ จุดที่เป็น - เท่าๆกัน ส่วน จุดที่ สัญญาณ แตกต่างกันน้อย ก็จะขยายน้อย ส่วนที่ที่มันแตกต่างกันมากก็จะขยายมาก(แบบนี้เรียกว่า ดิฟเฟอร์เรนเชียล).....
      ขออธิบายง่ายๆดังนี้ คือ ตามปกติวงจรบาลานซ์เมื่อถึงปลายทางก็จะกลับเฟส cold(-)เสียใหม่ แล้วไปเปรียบเทียบกับ hot(+) ถ้าสัญญาณเหมือนกัน แสดงว่า  นั่นคือเป็นสัญญาณที่แท้จริง ส่วนสัญญาณที่ไม่เหมือนกันมันก็คือของปลอม จะไม่ขยาย(นี่คือการทำงานปกติของ บาลานซ์  เพื่อป้องกัน NOISE...เหมือนกันคือของจริง/ไม่เหมือนกันคือของปลอม) ถ้าต่อแบบนี้ จะมีทีจุดที่ไม่เหมือนกันแยอะมาก (ซึ่งจริงๆแล้วมันคือของจริงของทั้งคู่)ถามว่ามีเสียงดังใหม ตอบว่ามีเสียงดัง(เหมือนจะปกติ) แต่ถ้าถามว่าครบใหม ตอบได้ว่าไม่ครบ แต่จะฟังรู้หรือปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง..(แต่ออสซิลโลสโคป รู้แน่)..........
            แต่ถ้าต่ออีกวิธีคือเอาresistor ค่าเท่ากัน 2ตัว ต่อจาก hot  ของ ไฮ และ มิด มารวมกัน ออกป็น  hot     และเอา resistor ค่าเท่ากัน กับ2ตัว แรก ต่อจากcold  ของ ไฮ และ มิด มารวมกัน แล้วออกเป็น cold (เรียกว่า คอมโพสิท)แบบนี้ เมื่อถึงปลายทาง สัญญาณ จะมีครบครับ ไม่มีการหักล้างกันเองในบางช่วง และถ้ามีสัญญาณแปลกปลอม(noise)มันก็จะไม่ขยายครับ
                             ขออภัยที่เห็นต่างอีกครั้งครับ
เรียนถามนะครับ
Resistor ที่ว่านี้ต้องใช้ค่าประมาณเท่าไรถึงจะเหมาะสมครับ
เพราะผมกำลังจะทดลองวิธีนี้อยู่ครับ
ขอบคุณมากนะครับ
ว่าที่ร้อยตรีณัฐพงศ์ สนธิจันทร์
การประปาส่วนภูมิภาค สาขาพิษณุโลก
เลขที่ 662 หมู่ที่ 8 บ้านเขาสมอแคลง ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 65130
โทร. 08-8573-4644,08-7232-2044


ออฟไลน์ weerasuk49

  • ท่านผู้ชม
  • **
    • กระทู้: 41
สุดยอดครับ
นายวีระศักดิ์  พิมสาร

75/1 หมู่ 5 ต.หารแก้ว อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 50230

084-9870213


ออฟไลน์ arkomtv5

  • จี.พี. ลูกทุ่งเพนจร
  • ท่านผู้ชม
  • **
    • กระทู้: 40
  • จีพี ลูกทุ่งเพนจร
ตามหลักการ แรงดันตรงเอาท์พุท ตรงนี้ น่าจะอยู่ประมาณ 300 มิลลิโวลท์ กระแส ต่ำมากๆ พูดง่ายๆว่า พลังงานตรงนี้ต่ำมากๆ มีค่าเป็นป็นมิลลิวัตต์ครับ ถ้าท่านใช้ รีซิสเตอร์ 1 หรอ 2 วัตต์ก็ ใช้ได้เหลือเฟือครับ..
132 ม.10 ต.ปากพูน อเมือง จ.นครศรีธรรมราช


ออฟไลน์ ช่างอ๊อด-เชียงใหม่ 081-7838011

  • นายธินกร สุวรรณไตรย์
  • นักร้อง
  • ******
    • กระทู้: 1371
  • นายธินกร สุวรรณไตรย์
    • ช่างอ๊อดดอทคอม


ครับ

189/239 ม.9 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย
จ.เชียงใหม่ 50210
ธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดรวมโชค ออมทรัพย์
ชื่อบัญชี ห้างหุ้นส่วนสามัญ"ช่างอ๊อด"มิวสิค
ชื่อบัญชีตู้ ATM CHANGODD MUSIC
เลขบัญชี 6750030923


ออฟไลน์ ช่างอ๊อด-เชียงใหม่ 081-7838011

  • นายธินกร สุวรรณไตรย์
  • นักร้อง
  • ******
    • กระทู้: 1371
  • นายธินกร สุวรรณไตรย์
    • ช่างอ๊อดดอทคอม
ตอนสมัยเป็นเด็กละอ่อน ตอนเรียนวิชาไฟฟ้า
ประจุไฟฟ้า จะวิ่งจากขั้วนึง ไปหาอีกขั้วนึง
จะเป็น ประจุลบ วิ่งไปหาประจุบวก
หรือ
ประจุบวก วิ่งไปหาประจุลบ ก็แล้วแต่..(ช่างมัน...เรามองไม่เห็น)

แม่เหล็ก จะดูดกันได้ จะต้องต่างขั้ว คือ ขั้ว S ดูดกับ ขัว N

มนุษย์เรา จะมีลูกได้ จะต้องเป็น ผู้ชาย กับ ผู้หญิง อึ๊บกัน

(เมื่อกี๋เชียงใหม่ฝาตกลมแรงและฟ้าลั่น) ฟ้าฝ่า จะเกิดขึ้นได้
คือประจุไฟฟ้าในอากาศ วิ่งลงหาประจุที่ตรงกันข้าม ก็คือพื้นโลก
**ใครเคยเห็น ฟ้าแล็ป หรือ ฟ้าผ่า กันเองบนท้องฟ้าบ้างครับ**

ใกล้ตัวเข้ามาหน่อย

สายโทรศัพท์ ที่วิ่งเข้าไปในบ้าน เป็นระบบ Balance นะครับ คือ ไป-กลับ วนลูป ในตัวมันเอง
ลองนึกเล่นๆดูสิ เสียงเราพูด กับ เสียงปลายทางพูด มันวิ่งสวนกันไปมาได้ ทั้งๆที่มันมีแค่ 2 เส้น ไม่มีกราวด์
(โทรศัพท์ที่ไม่ใช่ระบบ IDSL นะคร๊าบบ)

เข้าเรื่องเลยครับ

ไฟฟ้าใน แอมป์ขยายเสียง ที่เร็คกูเลทแล้ววัดไฟ +(บวก) กับ กราวด์ จะเท่ากับ วัดกราวด์ กับ ไฟ -(ลบ)
ถ้าถ้าวัด +(บวก) กับ -(ลบ) ก็จะได้ค่าเป็น 2 เท่า กับที่วัดข้างต้น
นั่นแสดงว่า ไฟฟ้า วิ่งจาก +(บวก) ไปหา -(ลบ)

คนตกตึก 4 ชั้น ลงสูพื้นดิน ขาหัก ซี่โครงทะลุปอด ปางตาย
และ คนตกเหว ลงเบื้องล่าง ก็สาหัสพอๆกัน
แต่ คนตกตึก แล้ว ข้างหลังตึก เป็นเหวลึก เหอะ...............ไม่รอด
189/239 ม.9 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย
จ.เชียงใหม่ 50210
ธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดรวมโชค ออมทรัพย์
ชื่อบัญชี ห้างหุ้นส่วนสามัญ"ช่างอ๊อด"มิวสิค
ชื่อบัญชีตู้ ATM CHANGODD MUSIC
เลขบัญชี 6750030923


ออฟไลน์ ช่างอ๊อด-เชียงใหม่ 081-7838011

  • นายธินกร สุวรรณไตรย์
  • นักร้อง
  • ******
    • กระทู้: 1371
  • นายธินกร สุวรรณไตรย์
    • ช่างอ๊อดดอทคอม
ต่อ..................

นั่งกินเหล้าตองข้างถนน รถยนต์วิ่งมาด้วยความเร็ว 40กม ต่อ ชั่วโมง
หลับไน พุ่งเข้าจน จังๆ อาการบาดเจ็บค่อนข้างหนัก
แต่ รถวิ่งมา 40กม ต่อ ชั่วโมง โจรวิ่งราวสร้อย
วิ่งหนีตำรวจชนิดไม่มองหลัง วิ่งชนรถเข้าจังๆ ตายยคาที่

แอมป์ขยายเสียง กำลังงาน 500วัตต์ ทั้ง 2 ข้าง
แต่ เมื่อนำมันมาเข้าวงจร บริดจ์ กำลังงานกลายเป็น 1000w เลย เอ้าา
ไมอ่ะ..........ก็มันช่วยกันไงครับ มรึงงขายายบวกมา กรรรู ขยายลบไป
หลักการนี้ แอมป์พี่บ๊อส ทำขายกันทั่วฟ้าเมืองไทย

สัญญาณเสียง ในระบบเสียง ที่เป็น Un Balance ถ้าจะพูดว่า
สัญญาณมันวิ่ง จากสัญญาณ +(บวก) ลงกราวด์........ก็ใช่

สัญญาณเสียง ในระบบเสียง ที่เป็น Balance ถ้าจะพูดว่า
สัญญาณมันวิ่ง จากสัญญาณ +(บวก) ลงกราวด์........ก็ใช่
สัญญาณมันวิ่ง จากสัญญาณ -(ลบ) ลงกราวด์........ก็ใช่
หรือจะพูดว่า
มันวิ่งคู่กันไป 2 เส้น โดยใช้กราวด์ร่วม แต่สัญญาณกลับเฟสกัน.......ก็ใช่



อ้าว.............ก็ใช่


.....................แล้วไง
189/239 ม.9 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย
จ.เชียงใหม่ 50210
ธนาคารกรุงเทพ สาขาตลาดรวมโชค ออมทรัพย์
ชื่อบัญชี ห้างหุ้นส่วนสามัญ"ช่างอ๊อด"มิวสิค
ชื่อบัญชีตู้ ATM CHANGODD MUSIC
เลขบัญชี 6750030923