ครั้งหนึ่งที่มณฑลหูหนานของประเทศจีน
มีชายชราต้องการนำหลานชาย 7 ขวบของตนเข้าไปถวายเป็นข้าราชบริพารในวัง
เขามีม้าแก่ที่เลี้ยงไว้อยู่ตัวหนึ่งจะต้องนำไปด้วยเนื่องจากเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มี
และถ้าทิ้งไว้มันก็อาจจะอดตายก็เป็นได้
เขาออกเดินทางออกจากบ้านโทรมๆของเขาตั้งแต่รุ่งเช้า
โดยให้หลานชายขี่ม้าแล้วเขาก็เดินจูงมันไปอย่างช้าๆ
เพราะสงสารเจ้าม้าแก่ที่อาจรับน้ำหนัก 2 คนไม่ไหว
####ผ่านหมู่บ้านแรก ####
ชาวบ้านเห็นแกจูงม้าแกแล้วเอาหลานขี่ม้าก็พากันติฉินนินทา
" พวกเราดูเจ้าเด็กนั่นสิ เอาเปรียบคนแก่มากๆ ปล่อยให้ตาเดินอยู่แล้วตัวเองสบายอยู่บนหลังม้า "
ได้ยินดังนั้น ชายแก่กลัวคนจะว่าหลานเป็นคนไม่ดี แกจึงกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วให้หลานแกลงมาจูงม้าแทน
####ผ่านหมู่บ้านที่สอง ####
ชาวบ้านเห็นแกจูงม้าแกแล้วเอาหลานขี่ม้าก็พากันติฉินนินทา
" พวกเราดูตาแก่นั่นสิ เอาเปรียบเด็กมากๆ ปล่อยให้หลานเดินอยู่แล้วตัวเองสบายอยู่บนหลังม้า "
ได้ยินดังนั้น ชายแก่กลัวคนจะว่าแกเป็นคนไม่ดี แกจึงอุ้มหลานขึ้นหลังม้าอีกคน
"ทนๆเอาหน่อยนะ เจ้าม้าเพื่อนรักของข้า" แกพูดกับเจ้าม้าคู่ทุกข์คู่ยากของแก
####ผ่านหมู่บ้านที่สาม ####
ชาวบ้านเห็นแกกับหลานนั่งอยู่บนหลังม้าแก่ก็พากันติฉินนินทาอีก
" พวกเราดูตาแก่กับไอ้เด็กเปรตนั่นสิ เอาเปรียบม้ามากๆ ม้ามันแก่เดินแทบจะไม่ไหวอยู่แล้วยังพากันทรมานสัตว์อีก "
ได้ยินดังนั้น ชายแก่กลัวคนจะว่าแกกับหลานเป็นคนไม่ดี แกจึงกระโดดลงจากหลังม้าแล้วแกกับหลานก็ลงมาจูงม้าเดินทั้งสองคนแทน
####ผ่านหมู่บ้านที่สี่ ####
ชาวบ้านเห็นแกกับหลานเดินจูงม้าแก่ก็พากันติฉินนินทาอีก
" พวกเราดูตาแก่กับไอ้เด็กเปรตนั่นสิ โง่ไม่โง่ไม่รู้ มีม้าที่เสือกไม่ขี่ ไม่รู้จะจูงมันมาเป็นภาระทำไม "
#####################################################################
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างไร ก็ไม่อาจเป็นที่พอใจกับคนทุกคนได้
จงอย่าฟังคำติฉินนินทาของผู้อื่น
ให้มุ่งมั่นกับสิ่งที่ตนตั้งใจทำดีและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นพอ"