....ว่าถึงเครื่องมือแต่ละชนิดที่ใช้งานกันอยู่ในระบบงานเครื่องเสียง ทั้ง มิกเซอร์ โปรเซสเซอร์ เอฟเฟค หลายคนดูในหนังสือหรือตามสื่อต่างๆ อาจจะเห็นสรรพคุณที่บรรยายความสามารถของเครื่องมือนั้นๆว่าดีหรือไม่อย่างไรหรือวิธีการที่จะบอกรายละเอียดการนำไปใช้งานของเครื่องมือนั้นๆที่แทบจะไม่มีภาษาบ้านเราเลย
คำพวกนี้ฝรั่งเขาเรียกว่า " Specifications " ทำไมเราต้องยึดถือศัพท์พวกนั้นที่ไม่ใช้ภาษาบ้านเรา ก็เนื่องจากความเป็นสากลทั่วโลกนั่นเองซึ่งถ้าเรารู้ศัพท์พวกนี้เราก็จะได้เปรียบในทุกๆเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นและรู้ศักยภาพการทำงานของเครื่องมือนั้นๆอีกด้วย
คิดว่าคำศัพท์พวกนี้จะมีส่วนช่วยส่งเสริมแนวทางการเลือกใช้งานของสินค้านั้นๆให้แก่เพื่อนสมาชิกไม่มากก็น้อยครับ
1.Frequency Response - ในระบบงานเครื่องเสียงกลางแจ้งนั้นการที่เราจะทำให้ศักยภาพของระบบที่เราจัดการอยู่นั้นออกมาเต็มประสิทธิภาพได้ เราต้องเข้าใจในเรื่องความดังเสียงและความสามารถในการตอบสนองความถี่ของเครื่องมือต่างๆซึ่งแต่ละอันก็แตกต่างกันไป ซึ่งตรงนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นความสามารถของเครื่องมือนั้นๆที่จะยอมให้ความถี่ที่เข้ามาผ่านออกไปได้กว่างหรือมากน้อยในบางความถี่รวมถึงความครบถ้วนขนาดไหน ซึ่งคำพวกนี้บ่งบอกถึงขีดความสามารถและบอกถึงการออกแบบ เกรดอุปกรณ์ด้านในและความคุ้มค่าเงินอีกทั้งยังจำแนกขอบเขตการใช้งานของเครื่องมือได้ตรงตามความต้องการที่เราจะเอาไปใช้งานนั้นงานนี้ได้อย่างถูกต้องและไม่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุดูตัวอย่างนะครับ จะเห็นได้ว่าค่าความครอบคลุมความถี่ของไมค์ทั้งสองรุ่นก็จะแตกต่างกันไป เราก็สามาจำแนกการใช้งานได้อย่างถูกต้องครับ
** Frequency Response ที่ดีต้องคลุมความถี่ได้กว้างที่สุด **
2.Dynamic Range - เมื่อสมาชิกเลือกซื้ออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆควรสังเกต Dynamic Range มันคือ หน่วยวัดความดังของเสียง ใช้มาตราส่วนเป็น dB โดยใช้วิธีการคำนวณวิธีการกำหนดความดังสูงสุดและเบาที่สุดของเครื่องมือนั้นที่มีความสามารถทำได้ การที่ทำให้เรารู้ว่าเครื่องมือนั้นๆที่กำลังจะตัดสินใจซื้อมีค่า Dynamic Range สูงสุดเท่าใดก็ดูได้จากคู่มือที่แถมมาจากตัวเครื่องทั้งนี้ทั้งนั้นจะให้ดีก็ควรเลือกยี่ห้อที่มาตรฐานเพราะสมาชิกจะได้คู่มือที่แถมมากับเครื่องมือชิ้นนั้นเป็นจริงไม่มั่วนิ่ม Dynamic Range ที่ยิ่งสูงย่อมดีต่อการใช้งานโดยตรงเพราะจะทำให้เรารู้และสามารถรีดเอาความดังสูงสุดของเครื่องมือนั้นๆออกมาเครื่องที่ Dynamic Range ต่ำมีผลต่อ
การทำงานแน่นอน เช่น เมื่อต้องการความดังมากบางครั้งมีเสียงแตกพร่า ออกมาทั้งๆที่ ไฟ หรือVU ที่ Mixer ยังไม่ถึงจุดสูงสุด สำคัญมากโดยเฉพาะงานดนตรีงานแสดงสดที่การขึ้นลงของถ้วงทำนองของเสียงตลอดเวลา เสียงที่ดังต่อเนื่องในระดับเดียว เช่น เสียงน้ำตกเสียงพระสวดต่อเนื่องเป็นโทนเสียงเดียว เรียกว่า โมโนโทน เสียงงแบบนี้ จะมี Dynamic Range ที่ราบเรียบต่อเนื่องจึงทำให้เกิดสมาธิ แต่เสียงดนตรีนั้นมีความต่อเนื่องดังเบาสลับกันตามอารมณ์จะทำให้น่าติดตามและทำให้เกิดความครึกครื้นน่าสนใจมีการเปลี่ยนแปลงของ Dynamic Range ตลอดเวลา ดังที่กล่าวมาครับ
และเครื่องมือที่มี Dynamic Range ที่สูงกว่าย่อมมีส่วนช่วยในการตัดสินใจเป็นอันดับต้นๆ ดูคู่มือของเครื่อง ที่ติดมากับเครื่อง และที่สำคัญคือการทดสอบเสียงควบคู่กับการตัดสินใจ และทรัพยากรในกระเป๋าเป็นส่วนชี้ขาดในการเลือกซื้อ
3.Gain - ในการใช้งานเครื่องมือที่มาจากแหล่งต่างๆจะมี ฟังก์ชั่น ที่เรียกว่า Gain หรือ Line Gain เราจะทราบว่าตรงไหนใช้ยังไงอันไหนถูกต้องตามลักษณะงานสังเกตจากชื่อที่บอกครับ Mic Gain มันจะถูกออกแบบให้ขยายสัญญาณจากแหล่งกำเนิด ทีเป็น ไมโครโฟน เท่านั้น สำหรับสัญญาณอื่นที่ไม่ใช้ Mic ก็ถือว่าเป็น Line ทั้งหมดครับและในตอนที่ Mixer ที่มีจำหน่ายในบ้านเราและการเลือกซื้อเป็นลำดับต้นๆ ก็จะมีการออกแบบให้เสียบ 2 ช่อง คือ Line กับ Mic แต่จะมีที่ปรับให้เพียงอันเดียว ตรงนี้ก็จะสะดวกกว่าครับ แต่อย่าฝืนเอา Line ไปเสียงช่อง Mic เอา Mic ไปเสียบช่อง Line นะครับ มันจะผิดประเภทการใช้งาน การปรับระดับเกณฑ์อย่างเหมาะสม มีผลต่อการใช้งานโดยตรงกับคุณภาพเสียงโดยรวม โดยสังเกต ค่า PFL และดูที่ VU แสดงผลหรือบางรุ่นดูที่ LED แสดงผลไม่ควรเกิน 0 dB ถึง +2dB ครับ
4.Peak Overload - ไฟแสดงผลแบบนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อให้แสดงสถานการณ์ทำงานของเครื่องมือนั้นๆ ที่จะส่งผลต่อสัญญาณที่ออกมาการทำงานในระบบควรตรวจดูไฟแสดงผลตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ช่องรับสัญญาณ ด้านเข้า ออก อีคิว ครอส เพาเวอร์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันจะมีผลต่อสัญญาณที่ปล่อยออกมาในรูป แบบเสียงที่จะเกิดความบิดเบี้ยว และ แตกพร่า ในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นในการทำงานก็ควรเช็ค Peak หรือ Over Load ควบคู่กันไปตามความสามารถและขีดจำกัดของระบบที่ใช้อยู่ อย่างระมัดระวังและไม่ฝืนจนเกินไป ส่วนนี้เครื่องมือที่ควรเลือกถ้ามีส่วนการใช้งานที่กล่าวมาก็ควรเลือกใช้เป็นอันดับต้นต้น นี่ก็เป็นบรรณทัดฐานเบื้องต้นในการเลือกใช้เครื่องมือรวมถึงการเลือกซื้อให้เข้ากับงานและ ขอบเขตของงานหวังว่าคงมีประโยชน์กับสมาชิกไม่มากก็น้อยครับ