สิ่งแรกที่ควรทำคือ คำนวนงบประมาณก่อนเลยครับ เพราะไม่ว่าจะมีงบทำเพลงเท่าไรก็สามารถทำงานได้ครับ การทำงานให้ดีนั้นขึ้นกับความรู้และงบประมาณครับ บางงานงบสูงมากแต่คุมงานไม่เป็นก็ได้งานที่ไม่ดีก็ถมไปครับเอาเป็นว่าในที่นี้สมมติว่าไม่มีงบมากนัก มีอุปกรณ์แค่ คอมพิวเตอร์หนึ่งตัว soundcard ธรรมดาๆมีสอง in/out ราคาประมาณหนึ่งหมื่น ( ราคาต่ำกว่านี้ไม่ค่อยไหวครับ ) ไมโครโฟน 2 ตัว dynamic ตัว condenser ตัว ราคาสองตัวรวมกันประมาณหมื่นนึงครับแล้วก็ลำโพงคู่ใจที่ดีกว่าลำโพงคอมซักหน่อย เท่านี้เราก็พอจะทำงานได้แล้วครับ คราวนี้พอจัดหาอุปกรณ์ครบแล้วก็เริ่มงานกันได้เลยครับ
1. KEY SIGNATURE
ก่อนที่จะเริ่มอัดเสียงต้องระลึกอยู่เสมอว่าก่อนที่จะเริ่มงานต้องนึกภาพของงานตอนจบให้ออก ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆเพราะการทำงานด้วยตนเอง เหมือนกับเป็นโปรดิวเซอร์เองเชียวนะครับ เพราะฉะนั้นแนะนำว่า ก่อนอัดเสียงให้เตรียมเพลงทั้งอัลบั้มให้ครบทั้งเนื้อร้องทำนอง ส่วนเรียบเรียงแนะนำว่าให้หา reference มาเทียบครับอย่าทำเพลงโดยไม่มี reference เด็ดขาดมันจะเหมือนแล่นเรือโดยไม่มีหางเสือครับ หลังจากได้เพลงครบแล้วให้เช็คคีย์นักร้องว่าอยู่ในคีย์ไหน การทำเพลงออกมาให้ดีต้องเอาคีย์ที่นักร้องๆได้ดีที่สุดครับ อย่าเอาตามนักดนตรีเด็ดขาดครับเพราะนักร้องปรับตัวตามดนตรีได้ยากกว่านักดนตรีปรับตัวมากครับเจอบ่อยๆที่ทำเพลงอัดดนตรีมาเสร็จแล้วนักร้องๆไม่ได้สูงไปบ้างต่ำไปบ้าง ต้องมาแก้กันตั้งแต่ต้นอีกครับเพราะฉะนั้นอย่าลืมเช็คคีย์ก่อนเริ่มงานเสมอครับ
2. TEMPO
หลังจากที่วางคีย์เพลงแล้วให้เช็ค beat เพลงครับเพราะเราจะมารู้ปัญหาอีกทีถ้าไม่เช็คว่าตอนร้องเพลงแล้วเพลงมันโย้ๆนอกจากนี้การที่เรา beat ที่แน่นอนแล้วจะช่วยการ edit และ mix อย่างมากโดยเฉพาะการใส่ Fx ในกลุ่มพวก delay
3. START RECORDING
พอเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็ได้เวลาอัดเสียงกันครับ สำหรับเพลงที่ต้องการน้ำหนักกลองมากๆแนะนำว่าควรหางบสำหรับอัดกลองจริงครับ เช่น เพลงร็อค หรืออะไรที่มันหนักๆนะครับส่วนเพลงป็อบ แดนซ์ก็แล้วแต่งบในการเป๋าครับถ้าไม่มีใช้เขียน MIDI กลองเอาก็ได้ครับ สมมติว่าไม่มีงบนะครับให้เริ่มจากการเขียน MIDI กลองก่อนครับเขียนให้ดีที่สุดนะครับอย่าไปคิดว่าเดี๋ยวก็มาแก้ทีหลังก็ได้ มันจะงงไปหมดครับพอมี line มากๆเข้าก็จะสับสนไม่รู้จะแก้ตรงไหนดี พอเขียนเสร็จแล้วแนะนำว่าให้เลือก samp เลยครับพร้อมกับทำเป็น wav ด้วยเพราะไม่อย่างนั้นต่อให้คอมดีแค่ไหนก็ลากไม่รอดครับ ขอย้ำแยก line ออกมานะครับไม่ใช่กระเดื่อง สแนร์ปนกันมั่วไปหมดเวลามิกซืจะได้คุมทุกอย่างได้ง่ายครับอ้อแล้วอย่าใส่ Fx นะครับใจเย็นไปใส่ตอนมิกซ์ทีเดียวครับ
4. BASS
หลังจากได้ กลองที่แยกแทรคเรียบร้อยแล้ว ( จะได้เป็น wav ประมาณ 8-10 line ) ก็ได้เวลาอัดเบสครับวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนงบน้อยก็คือเอาเบสอัดตรงเข้า soundcard ไปเลยครับมักจะได้เสียงที่ไม่เลวนักแต่เวลาเล่นต้องให้เบสกะไปกับกระเดื่องดีๆนะครับเพลงจะน่าฟังขึ้นมาก หลังอัดเสร็จก็ให้ edit ให้เรียบร้อยจะจบเป็นงานๆไป
5. GUITAR
แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าต้องมีตู้แอมป์ครับอย่าต่อตรงเข้า soundcard เด็ดขาดเสียงมันก็ดังครับแต่เสียงดีนี่เลิกหวังไปเลยไม่มีทางถ้างบน้อยใช้ตู้แอมป์เล็กๆ ( ถ้าเป็หลอดได้ก็ยิ่งดีครับ ) 30-50 watt ก็ได้ครับแล้วใช้ dynamic microphone จับเสียงที่ได้จะดีกว่าอัดตรงเป็นอย่างมาก พวก line rhythm ให้อัดซ้ำหลายๆที ( ดูบทความเก่าที่เขียนเกี่ยวกับการบันทึกเสียงกีตาร์ด้วยตนเองถ้าต้องการรายละเอียดครับ ) สำคัญมากคือสายห้ามเพี้ยนให้ตั้งสายบ่อยๆครับหลังจากวาง กีตาร์ครบก็ edit ให้เรียบร้อยครับแนะนำว่าพวกโซโลเอาไว้เก็บหลังสุดได้ครับ
6. VOCAL
เสียงร้องเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเพลงไม่ว่าแนวไหนก็ตาม ยกเว้นเพลงบรรเลงเพราะมันคือ melody เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญกับมันที่สุดถ้ามีงบ ก็ไปอัดเสียงร้องในสตูดิโอดีกว่าครับแต่ถ้าไม่มีก็ใช้ condenser microphone อัดเองก็ได้ครับ แต่ย้ำว่าต้องใช้ condenser microphone ครับเพราะมันจะได้เสียงร้องที่คมชัดกว่ากันมากๆครับ ควรร้องใว้หลายๆเที่ยวแล้วมา edit รวมกันต้องขยัน edit หน่อยครับถ้าอยากได้งานดี พวกค่ายใหญ่นี่ edit เสียงร้องกันเพลงละ 1-2 วันเลยทีเดียวแนะนำว่าให้ใช้ program melodyne ครับมันจะทำให้เสียงร้องเนียนขึ้นมากและใช้ไม่ยากด้วยครับ ( ถ้าใช้ไม่เป็นมาเรียนที่วินเทจได้ครับ มุขตลกนะครับ ) เสียงประสานก็ทำเช่นเดียวกับเสียงร้องครับแต่อาจจะเก็บไว้มาก line ซ้ำๆกันเพื่อให้ดูหนาขึ้นเหมือนกับการอัดกีตาร์ครับ
7. เก็บตก
หลังจากที่เก็บ line ต่างๆครบแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนครับให้นำเพลงมาฟังบ่อยๆสักพักก่อนเพราะการฟังหลายๆเที่ยวเราจะเกิดไอเดียว่าขาดเหลือตรงไหนบ้างแล้วจะได้เก็บให้สมบูรณืที่สุด เช่น อาจจะมีโซโล , loop , feel inตอนท้ายอ้อลืมบอกไปครับถ้าต้องมี loop ให้ใส่ก่อนที่จะอัดทุกอย่างเลยครับไม่อย่างนั้นมันจะฟังดูเหลื่อมๆ
8. MIX DOWN
ตรงนี้รายละเอียดจะมากนะครับต้องขอบอกก่อนว่า การมิกซ์เสียงในคอมพิวเตอร์ไม่มีทางสู้มิกซ์บนมิกซ์เซอร์ได้ครับแต่ถ้าไม่มีงบเข้าห้องอัดเสียงและต้องมิกซ์เอง แนะนำว่าให้หา reference ในการมิกซ์ครับอันนี้สำคัญมากเพราะจะช่วยให้เราเอาภาพในใจออกมาได้ก่อนและการฟัง reference บ่อยๆจะช่วยให้จับสีสันของเพลงง่ายขึ้นครับเวลามิกซ์ต้องฟังดังสลับกับเบาครับ การฟังดังช่วยบอกรายละเอียดได้ชัดเจน ส่วนการฟังเบาจะช่วยบอก balance ระหว่างเครื่องดนตรีได้ดีครับอีกอย่างลองฟังกับลำโพงหลายๆตัวด้วยครับจะช่วยตัดสินใจได้มากทีเดียว
9. MASTERING
หลังจากมิกซ์เสร็จต้องอย่าลืมว่าเอาจนพอใจก่อนนะครับถึงมาทำมาสเตอร์ แนวคิดในการทำมาสเตอร์คือเพิ่ม dynamic และเกลี่ยสีสันของงเพลงในอัลบั้มเดียวกันให้ออกมาในทิศทางเดียวกันผลพลอยได้ที่ได้คือเพลงมันจะเสียงดังขึ้น แต่อย่าเอาจุดนี้เป็นตัวชี้วัดงานครับให้เอาว่าทำมาแล้วเพลงฟังดูดีขึ้นที่ความดังเท่ากัน สมมติว่าถ้าเปิดก่อนทำมาสเตอร์กับหลังทำที่ความดังเท่ากันแล้วแยกไม่ออกว่าอะไรดีกว่ากันแสดงว่าทำไม่ดีครับ
10. COPYRIGHT
หลังจากเสร็จสมบูรณ์แล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การนำไปจดลิขสิทธิ์ ที่กรมทัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ก่อนที่จะนำไปเสนอค่ายหรือให้ใครฟังครับ แทบจะไม่เสียค่าใช่จ่าย แต่ถ้ามีใครเอาเพลงของเราไปใช้ก่อนที่จะจดลิขสิทธิ์จะกลายเป็นของคนๆนั้นทันทีซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยมากครับมีน้องๆมาปรึกษาบ่อยแต่มักจะมาเมื่อสายเกินแก้แล้วครับ ถึงแม้ว่าเราจะไปส่งเพลงกับผู้ใหญ่หรือค่ายที่ดูน่าเชื่อถือก็ตามทีบางทีมันหลุดไปได้ครับ ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อนกันดีกว่าแก้ครับ
ทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมานั้นเป็นพื้นฐานที่คิดว่าน่าจะนำไปใช้ได้ง่ายและเกิดประโยชน์กับทุกท่านครับ
www.guitarthai.com