เพิ่งเข้าประจำการ ดีกว่าที่มีใช้อยู่

ด้านหน้า : ผ่านศึกพอสมควร ไม่เห็นข้อมูลว่าเลิกผลิต แสดงว่าของใหม่ยังมีจำหน่ายอยู่

ด้านหลัง

ภายในแจ่มครับ.. ดูแน่นดี น่าจะใช้ลายปรินท์เดียวกับรุ่น M3000 เห็นมีช่องว่างเตรียมไว้


ชิพ DSP Motorola ที่จัดการเรื่องเสียงมีคุณสมบัติ 24bit ADC sample 44.1kHz , 48kHz

และชิพอื่นๆ ประกอบการทำงานอีกหลายตัว ไม่รู้อะไรบ้าง แต่ก็น่าเชื่อถือดี

มี Slot แบบ RAM และมี socket IC ว่าง ดูไม่มีรอยเคยใส่ ไม่น่าใช่ชิพหาย (ถ้าใช่ก็..ฉิบหาย..)

switching power supply กระทัดรัดเป็นสัดส่วนเรียบร้อยดี

ขอแนะนำการใช้งาน M2000 ครับ.. (ขออภัยที่บางเรื่องอาจรู้อยู่แล้ว)
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจศัพท์บางคำ เพื่อความเข้าใจให้ตรงกันก่อนครับ
"RECALL" คือการแสดงหน้าจอหลัก(Home page) และพร้อมให้เลือก Preset ของ Effect แบบต่างๆ ซึ่งถ้าเป็น COMBINED 1+2 ก็จะแสดง ROUTING ให้เห็นด้วย
"Preset" คือโปรแกรม Effect เสียงแบบต่างๆของ ที่ Set ค่า Parameter สำเร็จรูปมาเรียบร้อยแล้ว ถ้ามาจากโรงงานจะมีคำว่า ROM , และถ้าเราทำเองจะมีคำว่า RAM
"Parameter" คือค่าตัวแปรต่างๆ ที่อยู่ใน Preset เช่น ค่า Decay , Pre-Delay ฯลฯ ซึ่งจะแต่งเสียงให้เปลี่ยนไปตามความต้องการ และ Preset ต่างๆ ก็อาจมี Parameter ไม่เหมือนกันด้วย
"ROUTING" คือทางเดินของสัญญาณ ตั้งแต่ Input ผ่าน Preset ต่างๆ จนออกไปที่ Output
การต่อ เราต่อจาก Mixer ที่ AUX SEND กันอยู่แล้วซึ่งมันเป็น mono
จึงต้องมาเสียบที่ช่อง L เท่านั้น
การใช้งานปุ่ม Control 
- ลูกบิด ADJUST เป็นการเพิ่ม - ลด ค่า Parameter ต่างๆ หรือเปลี่ยนโปรแกรม Preset
- ปุ่ม CURSOR เป็นการเลื่อนตัวชี้การทำงาน และถ้ากด SHIFT ก่อนแล้วใช้ปุ่ม CURSOR ก็จะเป็นการเปลี่ยนหน้า(Page)การทำงาน
- ปุ่ม OK เป็นปุ่มยืนยัน ใช้กรณีที่มีไฟแสดง เช่น การเปลี่ยน Preset เมื่อเราหมุนเปลี่ยนไปที่หมายเลขใดๆแล้ว มันยังไม่ทำงานทันทีนะครับ แต่มันจะมีไฟติดที่ปุ่ม OK เพื่อถามว่าจะเอา Preset นี้หรือไม่ ถ้าเราเลือก เราจะต้องกดมันก่อน Preset หมายเลขนั้นถึงจะทำงาน
สำหรับกรณีการ EDIT แก้ไข Parameter ใน Preset นั้น มันจะทำงานทันที และไม่ต้องกดปุ่ม OK ก็ได้ (ดูจากไม่มีไฟแสดง)
- ปุ่ม TAP เป็นการป้อนค่าเวลาลงใน Parameter ที่กำหนดไว้ เช่น ถ้าเรากดครั้งแรกและกดอีกครั้งภายใน .5 วินาที มันก็จะใส่ค่า .5 วินาที ใน Parameter นั้นๆ (ว่างๆจะศึกษามาแนะนำอีก)
- กดปุ่ม SHIFT แล้วบิดลูกบิด ADJUST ไปทางซ้าย เป็นการเลือก Preset แบบ ROM
- กดปุ่ม SHIFT แล้วบิดลูกบิด ADJUST ไปทางขวา เป็นการเลือก Preset แบบ RAM
การ SETUP (เอาแค่เรื่อง I/O , ROUTING และ LEVEL ก่อน)
ตั้งค่า I/O (คู่มือหน้า 14)

- Input : = ANA (ส่วนใหญ่เราใช้สัญญาณ Analog อยู่แล้ว)
- Input Signal : = LEFT (เพราะเป็น Mono)
- Samplerate : = 48.0 (ให้ละเอียดสูงสุด และให้เข้าพวกกับ Processor อื่นๆเผื่อเวลาเราต่อสัญญาณแบบ Digital ถึงกันจะ match กัน)
- MIX : เคยแนะนำให้ตั้งค่าเป็น 100% ตายตัว
แต่ปัจจุบันผมเปลี่ยนมาเลือกตั้งแบบ MIX เพื่อให้ตั้งค่าเปอร์เซนต์ได้จะดีกว่า - STATUS BIT : ถ้าไม่ใช้ Digital I/O ตั้งค่าใดก็ได้ (Default = SPDIF)
การตั้งค่า ROUTING ส่วนใหญ่ต่อ Mono ก็เลือกแบบที่ 2 คือ PARALLEL น่าจะ OK (คู่มือหน้า 16)

การตั้ง LEVEL เป็นเรื่องสำคัญ อย่ามองข้าม ต้องตั้งให้เหมาะสมก่อนใช้งาน (คู่มือหน้า 15)

- ทั้ง Input และ Output ควรให้ = PRO: +4 dBu (สอดคล้องกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น)
- ระดับสัญญาณ ตั้งตามความต้องการ หรือจะตั้งด้วยระบบ
Auto Level การใช้ก็โดยในขณะที่นักร้องร้องเพลงตามปกติ ก็ให้กดปุ่ม Shift แล้วตามด้วยปุ่ม Level มันจะตรวจสัญญาณที่เข้ามาภายใน 3-5 วินาที แล้วจะปรับระดับให้เหมาะสมให้เองอัตโนมัติ ถ้าไม่พอใจก็ตั้งตามความต้องการได้อีก
การเรียกใช้งาน Preset หรือโปรแกรม Effect ต่างๆ ที่มีในเครื่อง

- เลือกกดปุ่ม RECALL จาก ENGINE 1,2 หรือ COMBINED 1+2
- หมุนลูกบิด ADJUST เพื่อเลือก Preset ตามต้องการ
- กด OK เพื่อยืนยันการเลือก Preset ที่ต้องการ

* ENGINE 1,2 เลือกใช้ Preset จาก ROM , RAM ร่วมกัน จะมีอย่างละ 128 Presets
* COMBINED 1+2 จะมี Preset ROM , RAM อีกอย่างละ 128 Presets ต่างหาก
- เลือก
Preset แบบ ROM : ได้โดยการกดปุ่ม Shift แล้วหมุนลูกบิดไปทางซ้าย
- เลือก
Preset แบบ RAM : ได้โดยการกดปุ่ม Shift แล้วหมุนลูกบิดไปทางขวา
การใช้งาน SNAPSHOTS คือการเก็บค่า Preset ทั้ง 2 Engine มาเรียกใช้ สามารถเก็บได้ 4 ชุด เพื่อใช้งานด่วนๆ โดยเลือกหรือแก้ไข Preset ที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Shift ตามด้วยปุ่ม TAKE 1
4 เมื่อต้องการเรียกใช้งานก็เพียงเลือกกดปุ่ม TAKE 1
4 เท่านั้น
การแก้ไข (EDIT) - สามารถแก้ไขได้ทั้งที่ ENGINE 1,2 หรือ COMBINED 1+2
- สามารถแก้ไขจากโปรแกรม Preset ต่างที่มี ทั้งใน ROM และ RAM หรือกระทั่งใน SNAPSHOTS
- โปรแกรม Preset เสียง Effect รูปแบบต่างๆ มันมี
จำนวน/ประเภทของ Parameter ที่ให้เราปรับแต่งไม่เหมือนกัน บางอันมีน้อย บางอันมีมาก แล้วแต่ Algorithm ที่เขาคิด
- และในแต่ละ Preset ของ t.c.M2000 มันยังมีการปรับแต่งแบบ Expert แบบละเอียด โดยเพิ่ม Parameter ย่อยเข้ามาให้เราปรับเล่นอีก (แค่ปกติก็ปวดหัวอยู่แล้ว)
- อย่างที่เคยบอกไว้ เวลาเปลี่ยน Parameter โดยหมุนลูกบิดเปลี่ยนค่า มันจะกระทำตามค่าที่เราเปลี่ยนทันที และจะมีเครื่องหมายตัว "E" ให้เราเห็นว่า Preset นี้ได้มีการถูกแก้ไขแล้วนะ เตือนว่าชอบรูปแบบนี้หรือไม่ ถ้าชอบให้บันทึกไว้ใน RAM ซะ ถ้าเปลี่ยนไปมันจะหายไปเลย (การบันทึกคงไม่ต้องอธิบายนะครับ)
Parameter ที่ควรทราบ (ผมยกตัวอย่าง Preset แบบ Reverb อย่างเดียว) ผิดถูกช่วยทักท้วงเช่นเคย

- Decay : เป็นระยะเวลาที่เสียงค่อยๆลดลง เป็นวินาที (Sec) มีผลในเรื่องความก้อง และหางเสียง ..
- Pre-delay : เป็นระยะเวลาที่เสียงสะท้อนเสียงแรกได้ยิน (mS) ผมว่ามันมีผลเรื่องความรู้สึกคนร้อง , ความหนาของเสียง ถ้าเสียงสะท้อนเสียงแรกมาต่อกับเสียงจริงให้พอดีๆ จะรู้สึกว่าเสียงมันหนาดี ผมคิดอย่างนั้น ..
- Reverb Lo : Reverb Mid : Reverb Hi : สามารถแยกปรับค่าของเสียงที่อยากให้สะท้อนได้ทั้ง Lo , Mid และ Hi อยากจะเน้นให้สะท้อนความถี่ไหนก็เลือกเอา
- HighCut : เป็นจุดตัดกรองความถี่สูงออก
- HighDamper : อัตราการลดลง หรือ Decay ของเสียงสูง ค่ามากจะลดลงเร็ว (dB)
- Distant : จำลองระยะห่างจากต้นกำเนิดเสียง
- Mix : การผสมระหว่างเสียงจริงกับ effect เคยแนะนำให้ตั้งค่า 100%
(ปัจจุบันผมขอแนะนำให้ตั้งค่า ระหว่าง 25 - 40%) - Out Level : ตั้งระดับความดัง Output (ผมจะตั้งสูงสุดคือ 0 dB = มาเท่าไหร่ก็ไปเท่านั้น)
Parameter แบบ Expert - Low Mult :
- LowMid Mult :
- High Mult : เป็นการแบ่งย่านเสียงของการ Decay เป็นจำนวนเท่า(Multiple) เช่น ถ้าตั้ง Decay = 1.5 Sec และค่า High Mult = 2 แสดงว่า เสียง High จะ Decay = 3 Sec (ช่วยทดลองด้วยว่าเป็นไปตามที่ว่าหรือเปล่า)
- Lo Xovr : จุดตัดเสียงต่ำ
- Mid Xovr : จุดตัดเสียงกลาง
- Hi Xovr : จุดตัดเสียงสูง (เจ๋งมากเลยมันมี Crossover ด้วย สำหรับการ Multiple ตามที่กล่าวไว้)
- Diffuse : การแพร่กระจายของเสียง เขาบอกว่ายิ่งมากเสียงยิ่งไม่สมจริง (ทดลองเอาแล้วกัน)
- Diff.Type : รูปแบบการแพร่กระจายของเสีย (ทดลองเอาแล้วกัน)
- ประเภท Dynamic เช่น Threshold , Attack , Release
- ฯลฯ อธิบายไม่หมด Preset รูปแบบอื่นมันมี Parameter แปลกๆไม่เหมือนกันอีกด้วย (และก็ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเรียก Parameter Expert มาใช้ก็ได้ แค่ธรรมดาก็จะแย่อยู่แล้ว)
การปรับแต่งนี่ เป็นเรื่องชอบใครชอบมัน ส่วนมากเราใช้ Effect ให้ทำงานแบบ Reverb การตั้งค่ามีมาก แต่ที่แนะนำก็มีไม่กี่ตัว ผมจะเลือกประเภท HALL ก็คือเสียงก้องเสียหล่อทั้งหลาย เอาให้มันทำงานทั้ง Engine 1 และ 2 เลย ถ้าตั้ง Preset เดียวกัน Parameter เหมือนกันก็ได้ จะรู้สึกว่าเสียงหนาเข้าไปอีก ค่าเหล่านี้จึงต้องทดลองกันเอง ถามเพื่อนที่ใช้เป็นแนวทางได้ แต่ก็ควรมีหลักการปรับ ทราบความหมายหรือวัตถุประสงค์ของ Parameter แต่ละตัวบ้าง
จะได้ไปสู่เสียงที่ "ใช่" ได้เร็วขึ้น ตัวไหนไม่รู้ก็ลองปรับเดาเอาเองก่อน ผมก็ใช้วิธีอ่านบ้าง ไม่เข้าใจก็ต้องเดาเอาบ้างมาตลอด ก็ยังมีไม่ค่อยเข้าใจอยู่เหมือนกัน จึงต้องมาแบ่งปันกันหน่อย เผื่อถ้าผิดเดี๋ยวก็มีผู้รู้มายืนยันอีกที .. ยี่ห้ออื่นๆ ผมก็ทำแบบนี้เหมือนกัน..
การใช้ Preset แบบ COMBINED 1+2 - น่าจะเป็น Preset ที่เหมาะแก่การใช้งานสำเร็จรูปทันที ดูจากที่มันมี Parameter ที่เข้าไปปรับได้เพียงไม่กี่ตัว และบางตัวผมก็ยังไม่เข้าใจ เช่น การ MORPHING ต้องศึกษาให้เข้าใจก่อน
- การเลือกใช้ ก็ต้องเลือกให้ตรงกับ ROUTING ที่เราต่อ Input ด้วย เช่น ผมต่อแบบ PARALLEL ก็ต้องเลือก Preset ของ COMBINED ที่เป็นแบบ PARALLEL ด้วย ขอยกตัวอย่างที่ผมชอบ Preset แบบ COMBINED 1+2 หมายเลข 48 เป็นต้น
- เราสามารถแปลง Preset แบบ COMBINED 1+2 ให้กลับมาเป็น Preset ธรรมดา 2 ตัวได้เหมือนกัน แต่วิธีการซับซ้อนหน่อย ผมค่อยมาเขียนอธิบายต่อไป
ดังนั้น Preset แบบ COMBINED 1+2 นี้จึงเป็น Preset ที่มีการกำหนดใน ENGINE 1 และ 2 พร้อมทั้งกำหนด ROUTING ไว้ทีเดียว ค่า Parameter ต่างๆ ถูกกำหนดค่อนข้างตายตัวแล้ว ปรับได้เพียงเล็กน้อย จึงเหมาะสำหรับใช้งานทันที ผมคิดจะหาทางตั้งแบบธรรมดา แล้วมา Save ให้เป็นแบบ COMBINED 1+2 อีกครั้ง ไม่รู้จะทำได้ตามที่คิดไว้หรือเปล่า มันลึกลับซับซ้อนน่าสนุกดี ..
มาถึงตรงนี้ถ้าเทียบกับ Yamaha SPX 990 ผมขอให้คะแนน M2000 มากกว่าในเรื่องดังนี้
1.
ใช้งานง่ายกว่า เนื่องจากเป็น Graphic Display ปุ่มกดที่อาจเยอะหน่อย แต่แยกเป็นสัดส่วน เปลี่ยนแปลง Preset หรือ Edit Parameter ได้ง่าย รวดเร็ว พอที่จะเข้าใจได้ไม่ยาก
2.
เป็น 2 Engine แบบ Sterio แท้ๆ (Hardware & Software) ลองตั้งให้ Engine1 และ 2 เป็น Preset เดียวกันดูจะเห็นว่าเสียงหนาขึ้นเห็นๆเลย
3. Hardware
เป็นเทคโนโลยีปัจจุบัน และยังคงมีผลิตจำหน่ายในตลาดอยู่ และน้ำหนักเบากว่ากันเยอะ
เรื่องเสียงผมแยกไม่ออกเท่าไหร่ โปรแกรมสำเร็จหรือ Preset ที่ตั้งสำเร็จรูปมาอาจไม่ลงตัวเหมือน Yamaha แต่ถ้าเราเข้าใจการปรับแต่งให้ชำนาญแล้ว ผมว่าเสียงต้องสู้ได้จนถึงกับดีกว่าแน่ ตอนนี้ผมใช้งานร่วมกันทั้งคู่ แยก AUX แยก RETURN เลย บางทีก็เปิด RETURN ให้ทำงานทั้งคู่เลย ตามอารมณ์ไม่มีหลักการ ถ้าชอบเน้น Effect เด่นๆ เสียงร้องคลอตาม ก็เป็น Yamaha คนร้องจะรู้สึกว่าเสียงดีขึ้น แต่ถ้านักร้องเสียงดีอยู่แล้วชอบเสียงร้องให้เด่นๆ แล้ว Effect เป็นตัวประกอบเสริม ก็เป็น TC2000 แล้วกัน บ้านเราคงชอบ Yamaha มากกว่า แค่นี้ก่อนครับ ..